[รีวิว] รักษา “ถุงน้ำในรังไข่แตก” ด้วยสิทธิ์ประกันสังคม ไม่ต้องสำรองจ่าย

[รีวิว] รักษา “ถุงน้ำในรังไข่แตก” ด้วยสิทธิ์ประกันสังคม ไม่ต้องสำรองจ่าย

สวัสดีค่ะ วันนี้แอดมินนำประสบการณ์การรักษา “ถุงน้ำในรังไข่แตก” ด้วยสิทธิประกันสังคมมาเล่าสู่กันฟัง การรักษาครั้งนี้ผู้เขียนได้เปลี่ยนสิทธิรักษาโรงพยาบาลประกันสังคม มายังโรงพยาบาลใกล้บ้าน และได้รับความเมตตากรุณาจากทีมหมอและพยาบาล ให้ตรวจละเอียดจนเจอว่าเป็นโรคถุงน้ำในรังไข่แตก อาการเป็นอย่างไร จะมาเล่าให้ฟังค่ะ

ระวัง ! ปวดท้องที่ไม่ใช่ปวดประจำเดือน = ถุงน้ำในรังไข่ผิดปกติ

วันที่ 1 สิงหาคม 2567 สิทธิรักษาประกันสังคมของผู้เขียน ได้มาอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งใหม่พอดี โดยก่อนหน้านี้ผู้เขียนมีอาการปวดท้องข้างขวา ปัสสาวะขัด (ไม่สุด) และเวียนศีรษะ ส่วนอาการอื่นแทบจะไม่มี และไม่มีไข้ด้วย ลักษณะการปวดแบบนี้ผู้เขียนเคยเป็นเมื่อ 3 วันที่แล้ว เมื่อไปถึงโรงพยาบาลก็ได้รอตรวจกับสูตินรีแพทย์ และแจ้งว่าเคยมีอาการถุงน้ำในรังไข่แตก 

อาการวันนั้นได้แก่

– ปวดท้องข้างขวา กินยาแก้ปวด (พาราฯ, ไอบิวโพรเฟ่น, ฯลฯ) ไม่หาย
– ปัสสาวะไม่สุด
– วิงเวียนศีรษะ
– กินข้าวไม่ค่อยลง
– มีตกขาวออกมาเป็นมูกเลือด ซึ่งไม่ใช่ระยะที่มีประจำเดือน
– ล้า

คุณหมอได้ทำการตรวจสอบเบื้องต้นด้วยวิธี “ตรวจภายใน” และ “อัลตราซาวด์” และวินิจฉัยว่าเป็นมดลูกอักเสบ และปีกมดลูกอักเสบ ผู้เขียนได้ฉีดยาแก้ปวด 1 เข็ม และได้รับยาฆ่าเชื้อมารับประทาน 2 ชนิด

สรุปคือ เราไม่หาย วันที่ 4 สิงหาคม 2567 ได้เดินทางไปยังโรงพยาบาลอีกครั้ง

ตรวจถุงน้ำในรังไข่ ด้วยวิธี CT Scan

เมื่อรู้สึกว่าปวดแล้วไม่หาย และมีอาการเยอะขึ้น จึงเตรียมตัวเดินทางไปตรวจอีกครั้ง ถึงโรงพยาบาล 10.00 น. (คาดว่าหาหมอเสร็จก็คง 13.00 น. จึงพาลูกสาวไปด้วย) อาการเบื้องต้นมีดังนี้

– กินยาแก้ปวด ฆ่าเชื้อ ตามที่ได้มาในวันที่ 1 สิงหาคม 2567 ไม่หายปวด ไม่ทุเลา
– ยังคงมีเลือดออกเป็นมูกเลือดพร้อมตกขาว ในบางครั้งของการปัสสาวะ
– ปัสสาวะไม่สุด
– ปวดท้องเวลาขับถ่าย
– ปวดท้องข้างขวาหนักหน่วงขึ้น

เมื่อได้พบคุณหมอ คุณหมอได้กดท้องอย่างละเอียด โดยครั้งนี้ไม่ได้ตรวจภายใน เพราะผู้เขียนเจ็บสุดบรรยาย ไม่อยากให้อะไรสอดเข้าไป การตรวจกดท้องทั้งกระเพาะอาหาร ลำไส้ มดลูก พบว่าบริเวณที่ปวดคือช่องท้องด้านขวา แยกไม่ออกระหว่าง​ “ไส้ตื่ง” หรือ “รังไข่” ดังนั้นคุณหมอขอทำ CT Scan

เข้าเครื่อง CT Scan ตรวจแยก “ถุงน้ำในรังไข่ – ไส้ติ่ง”

การตรวจ CT Scan จะต้องงดน้ำ งดอาหาร อย่างน้อย 1 ชั่วโมง ดังนั้นผู้เขียนก็ต้องรอต่อไป ได้คิวเข้าเครื่อง 16.00 น. 

เนื่องจากต้องตรวจแยกระหว่างไส้ติ่ง กับอวัยวะภายในของผู้หญิง คุณหมอจึงสั่งตรวจด้วยการสวนทวาร และฉีดสีเข้าทางเส้นเลือด ระหว่างการเข้าอุโมงค์นั้น ต้องทำ 2 รอบ รอบแรกยังไม่ฉีดสี รอบหลังผ่านการฉีดสีเข้าเส้นเลือดแล้ว

เครื่อง CT Scan มีหน้าตาเหมือนอุโมงค์ เขาให้เรานอนเหยียดตัวตรง และยกมือยืดขึ้นเหนือศีรษะ หลังจากนั้นเครื่องจะเลื่อนตัวเราเข้าไป ให้เรากลั้นหายใจตามคำสั่ง

นักรังสีเทคนิคเข้ามาอธิบายวิธีการฉีดสี และผลข้างเคียง คือ ในสารฉีดสีนั้นมีส่วนผสมของไอโอดีน คนที่เคยมีประวัติแพ้กุ้งอาจจะมีผื่นคัน และหอบเหนื่อย หายใจไม่ออก โอกาสพบน้อย ไอ้เราก็เป็นแค่ภูมิแพ้ ไม่เคยแพ้กุ้งอย่างรุนแรง แต่พอเข้าเครื่องออกมา เราหอบ หายใจไม่ออก ตัวสั่น นักรังสีได้เปิดผ้าคลุมดูพบว่าเราเล็บเขียวไปแล้ว จึงเรียกทีมพยาบาลมาพาเข้าห้องฉุกเฉิน

เมื่อไปยังห้องฉุกเฉิน สิ่งแรกที่ผู้เขียนทำได้หลังจากตั้งสติแล้ว คือขอเข้าห้องน้ำ เพราะการสวนทวารทำให้เราปวดอุจจาระแบบกลั้นไม่ได้ พอถ่ายออกหมดแล้ว สีที่ออกมาเป็นสีแดงแบบเบตาดีน (น่าจะเป็นสารที่ได้จากการฉีดสี)

การฉีดสีเข้าเส้นเลือด ปริมาณอยู่ที่ 80 ml. ก็เท่ากับนมออนซ์กว่าๆ ที่เราให้ลูกกิน ใช้เวลาฉีดไม่นานด้วยเข็ม 20 ml. 4 รอบ สารที่ได้รับเข้าไปทำให้เรารู้สึกปวดแสบปวดร้อน รู้สึกถึงสิ่งที่ไหลเวียนอยู่ในเบ้ากะโหลก และลงไปยังเส้นเลือดใหญ่ที่ท้องเลยทีเดียว

รอผลประมาณ 2 ชั่วโมง ทั้งผลเลือด และผลแลป

ถุงน้ำในรังไข่ รักษาอย่างไร

เมื่อถึงคิวเรียกตรวจ ก็เกือบ 18.00 น. แล้ว คุณหมอแจ้งว่า เคสของผู้เขียนไม่ต้องผ่าตัด (เพราะมันแตกไปแล้ว) อาการถามว่ารุนแรงไหม ก็ควรจะนอนแอดมิท 1 วัน เพื่อให้ยาแก้ปวด แต่ก็สามารถกลับมารักษาที่บ้านได้ โดยคุณหมอก็จะฉีดยาแก้ปวดนอกบัญชีให้ และหากไม่หายปวด ก็ต้องกลับมาฉีดมอร์ฟีนกันเลยทีเดียว

สาเหตุการเกิดถุงน้ำในรังไข่ ก็มาจากหลายปัจจัย ทั้งพันธุกรรม และการใช้ชีวิต ซึ่งไม่มีใครบอกได้ว่าเกิดจากอะไร แต่เมื่อเกิดแล้วก็ต้องดูแลตัวเอง หาวิธีป้องกัน ครั้งหน้าก็มีโอกาสเกิดขึ้นใหม่สามารถใช้ยาคุมกำเนิดแบบต่างๆ เพื่อลดอาการเหล่านี้ได้ ดัวยวิธีป้องกันไม่ให้ไข่ตก

คุณหมอให้นอนท่ายกขาชันเข่าเป็นเวลา 3 วัน หลังจากนั้นให้ทำงานเบาๆ อย่าออกแรงเยอะ เวลานอนก็นอนชันขาตามภาพที่ถ่ายมา

ค่าใช้จ่ายในการรักษาถุงน้ำในรังไข่แตก ตอนผู้เขียนเป็นรอบแรก จ่ายเอกที่โรงพยาบาลเอกชน ด้วยวิธีการอัลตร้าซาวด์ 4D ทั้งหมด 6,500 – 8,000 บาท แต่รอบนี้รู้สึกเป็นหนัก อยากประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่อยากจ่ายเอง ยอมรอด้วยสิทธิประกันสังคม จ่ายค่ายาฉีดส่วนต่างไป 2,100 บาท

ถุงน้ำในรังไข่ ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่

ใครที่อยากทราบค่าใช้จ่ายของการรักษาถุงน้ำในรังไข่คร่าวๆ นั้น ผู้เขียนได้ลิสต์วิธีการรักษาของแพทย์มา โดยสามารถนำไปเปรียบเทียบราคากับโรงพยาบาลใกล้บ้านได้ สำหรับผู้เขียน การตรวจครั้งนี้ถ้าจ่ายเองคงอยู่ที่ 19,000 – 21,000 บาท (ไม่นอนโรงพยาบาล)

1. พบแพทย์
2. ค่าหัตถการของพยาบาล
3. ตรวจภายใน
4. ตรวจอัลตร้าซาวน์
5. ตรวจปัสสาวะ
6. ฉีดสี
7. CT Scan
8. ฉีดยาแก้ปวด
9. ค่ายากลับบ้าน

โรคของผู้หญิงส่วนหนึ่งเบิกประกันสุขภาพไม่ได้ การมีประกันสังคมช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก หากใครที่มีประกันสังคมมาตรา 33 อยู่ เมื่อออกจากงานประจำก็อย่าให้หลุด ส่งประกันสังคมมาตรา 39 เพื่อรักษาสิทธิการรักษาได้อย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี ขอบคุณผู้ใหญ่ประเทศนี้ที่ไม่ตัดสิทธิการรักษาประกันสังคมออกจากระบบ และให้คนไทยวัยทำงานได้มีโอกาสเข้าถึงสิทธิการรักษา เพื่อเป็นแรงงานสำคัญ ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้ต่อไป.

วันนี้ขอจบการรีวิวเพียงเท่านี้ รักษาตัวเองเพื่อให้มีแรงเลี้ยงลูกและกลับมาทำงานต่อค่ะ !

แท็ก : ถุงน้ำในรังไข่,ซีสต์รังไข่,ตรวจถุงน้ำในรังไข่ ตรวจยังไง,ถุงน้ำรังไข่ห้ามกินอะไรบ้าง,ถุงน้ำในรังไข่แตก หายเองได้ไหม,ซีสต์รังไข่ ยุบเองได้ไหม,ถุงน้ำในรังไข่ มีลูกได้ไหม,ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดถุงน้ำในรังไข่,ถุงน้ำในรังไข่ อาการ,ถุงน้ำในรังไข่ รักษา,ถุงน้ำในรังไข่ ค่าใช้จ่าย,ถุงน้ำในรังไข่ เกิดจาก

Read More :

ใส่ความเห็น