วิธีเลือกประกันสุขภาพเด็กตามอายุ และความจำเป็น (ตอนที่ 2)

จากบทความ วิธีเลือกประกันสุขภาพเด็กตามอายุ และความจำเป็น (ตอนที่ 1) ที่เราได้เกริ่นวิธีการเลือกประกันสุขภาพเด็กแบบคร่าวๆ บทความนี้จะลงดีเทลของประกันแต่ละแบบ เพื่อได้ความคุ้มค่าในการจ่ายเบี้ยประกัน

รู้ก่อนจ่าย ! ประกันสุขภาพเด็ก มีกี่แบบ

คำศัพท์ที่ควรรู้ในบทความนี้

1. เบี้ยประกัน หมายถึง เงินที่เราต้องจ่ายเพื่อแลกรับความคุ้มครองในทุนประกัน เช่น ทำประกันชีวิตทุนประกัน 1 ล้านบาท จ่ายเบี้ย 15,000 บาท แปลว่าหากเกิดเหตุไม่คาดฝันเสียชีวิต เราจ่าย 15,000 บาท แต่ได้ความคุ้มครอง 1,000,000 บาท

2. ทุนประกัน คือ ความคุ้มครองตามสัญญา เช่น ทุนประกันชีวิต 500,000 บาท เราไม่ต้องจ่าย 500,000 บาทในทีเดียว ทางประกันจะให้เราจ่ายเบี้ยประกันจำนวนหนึ่งเพื่อให้ได้ความคุ้มครองจำนวน 500,000 บาท

3. OPD หมายถึง การรักษาแบบผู้ป่วยนอก คือค่ารักษาที่เกิดจากเราไปหาหมอแต่ละครั้ง ไม่ค้าง และกลับบ้าน หรือเป็นการรักษาที่อยู่ในโรงพยาบาลไม่ถึง 8 ชั่วโมง

4. IPD หมายถึง การรักษาแบบผู้ป่วยใน คือการรักษาที่ต้องค้าง หรือนอนโรงพยาบาล อยู่ในโรงพยาบาลเกิน 8 ชั่วโมง

5. ประกันกลุ่ม หมายถึง ประกันที่ทำร่วมกับคนอื่นๆ ส่วนใหญ่เป็น ประกันกลุ่มบริษัท และประกันของนักเรียนนักศึกษาในสถาบันเดียวกัน

6. ระยะเวลารอคอย หมายถึง ระยะเวลาประมาณ 120 วัน หลังจากบริษัทประกันส่งมอบกรมธรรม์ หากป่วยในระยะเวลารอคอย ประกันยังไม่จ่าย

7. แฟกซ์เคลม (Fax Claim) หมายถึง การเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลคู่สัญญา ที่ประกันจะจ่ายให้โรงพยาบาล เมื่อมีส่วนเกินก็สามารถเก็บจากประกันตัวที่สอง หรือเก็บจากผู้ป่วยโดยตรง

หากคุณกำลังตามหา ประกันสุขภาพเด็กเจ้าไหนดี? แผนประกันสุขภาพเด็ก ไม่ว่าจะเป็นของบริษัทไหนก็ล้วนแล้วแต่ออกแบบมาได้รับความคุ้มครองที่คุ้มค่าทั้งนั้น แต่หากเราได้เคลมความคุ้มครองอย่างพอดี ไม่ได้จ่ายเบี้ยทิ้ง และมีตัวแทนที่ดูแลเราเป็นอย่างดี ก็จะทำให้ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพนี้เหมาะสม มาดูแผนประกันสุขภาพเด็กคร่าวๆ ในประเทศไทย มีแบบไหนบ้าง

1. ประกันสุขภาพเด็ก แบบสัญญาพ่วงประกันชีวิต

ตัวแทนที่มาเสนอแผนประกันลักษณะนี้ จะเป็นการแจ้งทำทุนชีวิตหลัก เช่น 400,000 บาท, 1,000,000 บาท แล้วค่อยมาเติมสัญญาความคุ้มครองด้านสุขภาพ เรียกว่าเป็นสัญญาพ่วง มีค่าห้อง, ค่าแพทย์ สำหรับการรักษาแบบผู้ป่วยใน​ (IPD) รวมไปถึงชดเชยรายได้รายวันของผู้ปกครอง และประกันอุบัติเหตุต่างๆ ได้ด้วย

ข้อดี : หากทำตั้งแต่แรกเกิด คุ้มครองโรคที่เป็นมาแต่กำเนิด
ข้อควรพิจารณา :
1. รวมแล้วค่าเบี้ยต่อปีสูง
2. ถ้าป่วยด้วยโรคคล้ายๆ กันในช่วงเวลาใกล้ๆ กัน รอบหน้าประกันอาจไม่จ่ายทั้งหมด

2. ประกันสุขภาพเด็กแบบออมทรัพย์

ประกันสุขภาพเด็กแบบออมทรัพย์ คือ ประกันชีวิตแบบออมทรัพย์ที่พ่วงสัญญาสุขภาพแบบข้อ 1 แต่มีข้อสัญญาที่พูดถึงการออมมากกว่า ประกันลักษณะนี้เบี้ยค่อนข้างสูงกว่าแบบที่ 1 และเมื่อเทียบกับความคุ้มครอบครองด้านการรักษาพยาบาลแล้ว หากจะให้ Cover ค่าแพทย์ ค่ารักษาทั้งหมด เบี้ยจะสูงมาก

ข้อดี : ได้ความคุ้มครองผลประโยชน์ทุกด้าน
ข้อควรพิจารณา :
1. รวมแล้วค่าเบี้ยต่อปีสูงกว่าแบบอื่นๆ
2. ถ้าป่วยด้วยโรคคล้ายๆ กันในช่วงเวลาใกล้ๆ กัน รอบหน้าประกันอาจไม่จ่ายทั้งหมด
3. ถ้าเคลมบ่อย ปีต่อไปค่าเบี้ยจะเพิ่ม

3. ประกันสุขภาพเด็กแบบเหมาจ่ายค่ารักษาตามจริง

ประกันสุขภาพเด็กแบบเหมาจ่ายตามจริงนี้ จะไม่แยกค่าห้อง ค่ารักษาพยาบาล บางบริษัทให้ความคุ้มครองไปถึงการรักษาอุบัติเหตุด้วย ผู้ปกครองไม่ต้องกังวลเรื่องค่าห้องส่วนเกิน หรือส่วนต่างค่าแพทย์ ยกตัวอย่างเช่น ประกันสุขภาพเหมาจ่าย 50,000 บาท หมายถึงการเจ็บป่วยค่ารักษาในครั้งนั้น หากไม่เกิน 50,000 บาท ก็จะเคลมได้ทั้งหมด

ข้อดี : หมดกังวลเรื่องค่าส่วนเกินจากค่าห้อง ค่าแพทย์ ค่าอาหาร และอื่นๆ
ข้อควรพิจารณา :
1. ประกันเหมาจ่ายส่วนใหญ่คุ้มครองเฉพาะ การรักษาผู้ป่วยใน (IPD) แบบต้องนอนโรงพยาบาล
2. ถ้าเคลมบ่อย ปีหน้าค่าเบี้ยจะขึ้น

4. ประกันสุขภาพเด็ก OPD + IPD

แผนประกันสุขภาพเด็กแบบ OPD + IPD จะเคลมได้ 2 อย่าง คือ นอน กับ ไม่นอนโรงพยาบาล แต่สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เมื่อป่วยด้วยโรคใดโรคหนึ่ง OPD 500 – 3,000 บาท ก็แทบจะไม่พอ ดังนั้นผู้ปกครองส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะจ่ายตรงนี้เอง แล้วเลือกทำแบบความคุ้มครองที่ต้องนอนโรงพยาบาล IPD

ประกันประเภทนี้จึงเหมาะสำหรับพ่อแม่ที่มีสิทธิ์เบิกข้าราชการ, รัฐวิสาหกิจ หรือสิทธิ์เบิกบริษัท เพื่อเลือกให้ลูกได้รับการรักษาที่เร็วและทันท่วงทีจากโรงพยาบาลเอกชน ไม่ต้องรอคิว ไม่ต้องรอห้องนาน

ข้อดี : ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลให้กับพ่อแม่ที่มีสิทธิ์เบิกอยู่อย่างน้อย 1 สิทธิ์ เช่น เบิกข้าราชการ หรือเบิกบริษัท
ข้อควรพิจารณา :
1. ทุนประกัน 500 บาท อาจจะไม่พอสำหรับเด็กที่ไม่มีสิทธิ์เบิกอื่นๆ เลย
2. หากเลือกทำประกันประเภทนี้ก็ต้องสอดคล้องกับโรงพยาบาลใกล้บ้านที่จะเข้ารักษาด้วย บางสถานที่ไม่มีโรงพยาบาลเอกชน ต้องเข้าโรงพยาบาลรัฐอย่างเดียว ก็ไม่ได้ใช้ประกัน ทางบ้านใช้สิทธิ์ สปสช. เดิมอาจจะสะดวกกว่า

5. ประกันสุขภาพเด็ก IPD อย่างเดียว

ประกันสุขภาพเด็กแบบนอนโรงพยาบาลอย่างเดียว เป็นแผนที่ผู้ปกครองส่วนใหญ่นิยมทำไว้ เพราะช่วยเหลือเรื่องค่ารักษาได้ถึงหลักแสน ด้วยเบี้ยที่พอรับได้ ไม่แพงมาก บางบ้านมีลูกหลายคน ก็ต้องเลือกแผนนี้ และยอมจ่ายค่ารักษาส่วนแรก ซึ่งมักไม่เกิน 20,000 บาทไปก่อน

ข้อดี : จ่ายเบี้ยน้อย เมื่อเทียบกับประกันสุขภาพแบบอื่น และได้ความคุ้มครองเมื่อต้องนอนโรงพยาบาลอย่างคุ้มค่า
ข้อควรพิจารณา :
1. ผู้ปกครองต้องจ่ายค่ารักษาส่วนแรก ทั้งค่าตรวจ OPD และบางแผนประกัน จะคุ้มครองหลังจากค่ารักษา 20,001 บาทขึ้นไป
2. มีให้เลือกแบบประกันเฉพาะโรค กับประกันที่ครอบคลุมได้ทุกโรค ผู้ปกครองต้องอ่านรายละเอียดและสอบถามตัวแทนอย่างดี

6. ประกันสุขภาพเด็กเฉพาะโรคฮิต

ประกันสุขภาพเด็ก คุ้มครองโรคยอดฮิต เหมาะสำหรับเด็กวัย 3 ขวบที่เข้าโรงเรียนแล้ว และเด็กเล็กคนน้องที่มีพี่เข้าโรงเรียนแล้ว โดยจะต้องเจอะกับโรคไข้หวัดใหญ่, ไข้เลือดออก, RSV, ปอดอักเสบ แต่ถ้าไม่ได้เป็นโรคเหล่านี้ก็เคลมไม่ได้

ข้อดี : จ่ายเบี้ยน้อย คุ้มครองการนอนโรงพยาบาลในโรคที่มักเกิดกับเด็กตามสัญญา
ข้อควรพิจารณา :
1. ประกันจ่ายค่ารักษาให้กับโรคที่ระบุไว้ในสัญญาเท่านั้น ไม่คุ้มครองโรคที่นอกเหนือจากนั้น
2. เด็กบางคนก็ไม่เคยต้องใช้เคลม

7. ประกันสุขภาพเด็ก + ประกันอุบัติเหตุ

ประกันสุขภาพเด็กที่รวมแผนประกันอุบัติเหตุด้วย เป็นแผนที่เหมาะสำหรับครอบครัวที่มีลูกเล็ก โดยอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเด็กต่อครั้งมีโอกาสเสียค่าใช้จ่าย 20,000 – 50,000 บาท ตามความรุนแรง ซึ่งการ X-Ray หนึ่งครั้งก็หลักหมื่นแล้ว ยิ่งเป็นเด็กเล็ก มีโอกาสศีรษะกระแทก ต้องเลือกแผนที่คุ้มค่ากับการจ่ายเบี้ย

ข้อดี : ได้ความคุ้มครองทั้งสุขภาพ และอุบัติเหตุ
ข้อควรพิจารณา :
1. สามารถเลือกทำไว้เป็นประกัน TOP UP เสริมสิทธิ์เดิมที่มีอยู่ได้
2. วงเงินค่ารักษาอุบัติเหตุค่อนข้างคำนวณยากที่จะเลือกตามความเหมาะสม

8. ประกันสุขภาพเด็ก + ชดเชยรายได้รายวันให้ผู้ปกครอง

แผนประกันสุขภาพเด็กที่ได้ค่าชดเชยรายวันแก่ผู้ปกครองที่สูญเสียรายได้เฝ้าไข้ มีให้เลือกค่าชดเชยตั้งแต่ 500 – 1,000 บาทต่อวัน แม้ว่าแผนนี้ใครก็ทำได้แต่เหมาะสำหรับบ้านที่มีรายได้รายวันมากกว่า เพราะถ้าเสริมการชดเชยรายได้รายวันเข้าไปในแผนประกันจะจ่ายค่าเบี้ยที่สูงขึ้น ถ้าไม่ค่อยได้แอดมิทก็อาจจะไม่คุ้ม

ข้อดี : เหมาะสำหรับผู้ปกครองที่มีรายได้รายวัน และมีบุตรหลานหลายคน
ข้อควรพิจารณา :
1. ถ้าปีนั้นไม่ค่อยได้นอนแอดมิท ก็ได้รับค่าชดเชยน้อยตามวันที่นอน

9. ประกันสุขภาพเด็ก + ทุนคุ้มครองชีวิตบิดามารดา

มีแผนประกันสุขภาพอีกแบบหนึ่งที่รวมการคุ้มครองการเสียชีวิตของบิดามารดาไว้ด้วย ทุนประกันของบิดามารดาอยู่ที่ประมาณ 200,000 บาท ถึงหลักล้านบาท ซึ่งไม่เหมาะสำหรับผู้ที่จะเลือกทำประกันสุขภาพอย่างเดียว แต่เหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยมีประกันสักกรมธรรม์แล้วต้องการลดความเสี่ยงหากผู้หารายได้หลักของครอบครัวเสียชีวิต

ข้อดี : ได้ความคุ้มครองบิดามารดาด้วย บางแบบนำไปลดหย่อนภาษีได้
ข้อควรพิจารณา :
1. ต้องอ่านรายละเอียดดีๆ ว่าคุ้มครองการรักษาโรคอะไรบ้าง
2. เบี้ยประกันแผนประเภทนี้ มีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า OPD หรือ IPD เพราะฉะนั้นต้องอ่านรายละเอียดให้ดีก่อนทำประกัน

10. ประกันอุบัติเหตุอย่างเดียว ที่ไม่มีประกันสุขภาพ

ประกันเด็กแบบประกันอุบัติเหตุอย่างเดียว จ่ายเบี้ยแยกจากประกันแบบอื่นๆ ได้ หากเพิ่งมีลูกจะทำตั้งแต่ขวบปีแรก หรือช่วงวัยก่อนเข้าโรงเรียนก็ได้ เพราะหากเข้าโรงเรียนแล้วทางโรงเรียนจะบังคับทำประกันกลุ่มแบบหนึ่ง ที่สามารถเบิกเคลมได้

ข้อดี : จ่ายเบี้ยน้อย คุ้มครองค่ารักษาอุบัติเหตุในวงเงินที่สูง
ข้อควรพิจารณา :
1. จ่ายเบี้ยรายปีจะถูกกว่าจ่ายเบี้ยรายเดือน
2. ซื้อแยกจากประกันแบบอื่นๆ ได้
3. มีไม่กี่เจ้าที่รับทำตั้งแต่อายุเด็กแรกเกิด หรือ 15 วัน

สุดท้ายนี้เรื่องทำประกันเด็ก เหมือนจะเข้าใจยาก แต่ก็ไม่ยากเกินกว่าที่จะเรียนรู้ บทความหน้าจะยกตัวอย่างที่เข้าใจง่ายๆ พร้อมแผนประกันภัยที่พ่อแม่สามารถเลือกทำให้บุตรหลานได้เลยครับ.

Read More :

แท็ก : ประกันเด็ก 2567,ประกันเด็กที่ไหนดี,ประกันสุขภาพลูกน้อย,ประกันเด็กเหมาจ่าย,ประกันเด็กที่ไหนดี,ประกันสุขภาพเด็กรายเดือน,ประกันสุขภาพเด็ก 3 ขวบ,ประกันเด็ก AIA ดีไหม,ประกันสุขภาพเด็กโต,วิธีเลือกประกันสุขภาพเด็ก,ประกันสุดคุ้มเพื่อลูกน้อย,ประกันเด็ก alianz,ประกันสุขภาพเด็ก,ประกันสุขภาพเด็ก generali,เด็กต้องทำประกันไหม,ประกันวัยซน กสิกร,ประกัน PA for kid กสิกร,ประกันให้ลูก,ทำประกันให้ลูก aia,วิธีเลือกประกันสุขภาเด็ก,ประกันอุบัติเหตุเด็ก

ใส่ความเห็น