ประกันเด็ก 2567 ครอบคลุมสุขภาพ และโรคที่จำเป็น

วิธีเลือกประกันสุขภาพเด็กตามอายุ และความจำเป็น (ตอนที่ 3)

หลังจากที่รู้จักแบบประกันไปคร่าวๆ ในบทความที่แล้ว “วิธีเลือกประกันสุขภาพเด็กตามอายุ และความจำเป็น (ตอนที่ 2)” ในบทความนี้จะมาแนะนำวิธีทำประกันเด็กแบบคร่าวๆ เพื่อเซฟค่าใช้จ่ายของพ่อแม่ โดยเทียบกับค่ารักษาโรคฮิตในเด็กกรณีที่ต้องรักษาในโรงพยาบาลเอกชน มาทบทวนค่าใช้จ่ายกันอีกครั้ง

ค่ารักษาพยาบาลเด็กวัย 1 – 5 ปี โรงพยาบาลเอกชนทั่วไปโดยประมาณ

1. โควิด-19 ค่ารักษาอยู่ที่ 10,000 – 35,000 บาท
2. ไข้หวัดใหญ่ ค่ารักษาอยู่ที่ 14,000 – 40,000 บาท
3. มือเท้าปาก ค่ารักษาอยู่ที่ 14,000 – 50,000 บาท
4. ไวรัสโรต้า ค่ารักษาอยู่ที่ 14,000 – 50,000 บาท
5. ติดเชื้อไวรัสปอดอักเสบ ปอดบวม หลอดลมอักเสบ/คออักเสบ ค่ารักษาอยู่ที่ 22,000 – 250,000 บาท
6. ไวรัสลงกระเพาะ ค่ารักษาอยู่ที่ 10,000 – 25,000 บาท
7. ไข้เลือดออก ค่ารักษาอยู่ที่ 20,000 – 200,000 บาท
8. ติดเชื้อทางเดินหายใจ ค่ารักษาอยู่ที่ 10,000 – 300,000 บาท
9. อีสุกอีใส ค่ารักษาอยู่ที่ 10,000 – 25,000 บาท
10. อุบัติเหตุ 5,000 – 1,000,000 บาท

วิธีเลือกประกันสุขภาพเด็กตามอายุ และความจำเป็น ตามสิทธิ์รักษาขั้นพื้นฐานของแต่ละคน

เพื่อการยกตัวอย่างที่เห็นความคุ้มครองที่ชัดเจน ในบทความนี้เราจะนำแผนกรรม์ของแต่ละเจ้า มาเปรียบเทียบกับสิทธิ์เบิกต่างๆ ให้คุณพ่อคุณแม่เลือกพิจารณา ดังต่อไปนี้

1. ทำประกันเด็กเสริมกับสิทธิ์บัตรทอง สปสช. ต้องเลือกแบบไหน

เด็กไทยทุกคนที่เกิดมา และได้เลขบัตรประจำตัวประชาชน จะได้รับสิทธิรักษาจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพ โดยอิงจากภูมิลำเนาของมารดาตามทะเบียนบ้านเดิม (หากมารดาเป็นต่างด้าว ก็ให้ไปยืนยันสิทธิ์กับเจ้าหน้าที่ปกครองเพื่อแจ้งสิทธิ์) ยกตัวอย่างเช่น หากแม่อยู่กรุงเทพ แต่ก่อนแต่งงานแม่มีทะเบียนบ้านอยู่ที่สุพรรณบุรี สิทธิ์ของเด็กก็จะไปเกิดที่โรงพยาบาลใกล้ๆ กับทะเบียนบ้านเดิมของแม่ อย่างไรก็ดีอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ เช็กสิทธิ์โดยตรงได้ที่เว็บไซต์ สปสช. คลิกที่นี่

ตรวจสอบสิทธิ์รักษาบัตรทอง สปสช. ได้ที่นี่

สิทธิ์การรักษาพยาบาลพื้นฐาน หรือสิทธิ์บัตรทองอย่างที่เราทราบกัน มีขั้นตอนการรักษาและค่าใช้จ่ายดังนี้

  • ไปรักษาครั้งแรกต้องนำสูติบัตรตัวจริงของเด็ก พร้อมสำเนา ไปเปิดประวัติ
  • กดคิวรอรับการตรวจ
  • ใช้ระยะเวลารอนานกว่าโรงพยาบาลเอกชนในทุกขั้นตอน
  • แพทย์เฉพาะทางเข้าเป็นบางวัน จะต้องมาให้ตรงวันนัดเสมอ
  • ในช่วงที่เด็กป่วยบ่อยๆ ห้องพักรักษาตัวมักจะเต็ม ส่วนใหญ่หากไม่รุนแรงคุณหมอก็ให้ยากลับมารักษาที่บ้าน
  • ค่าใช้จ่ายไม่แพง เมื่อเทียบกับการรักษาแบบอื่น

ดังนั้น สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ที่มีสิทธิ์บัตรทองอยากทำประกันให้ลูกเพิ่ม มีดังนี้

  • ลดระยะเวลารอหมอนานๆ (เลือกทำประกันที่มีแผน OPD 500 – 2,000 บาท)
  • เมื่อเจ็บป่วยหนักๆ ต้องการเข้ารับการรักษาให้ลูกนอนโรงพยาบาล (เลือกแผนประกัน IPD 20,000 – 50,000 บาท)
  • หากเด็กประสบอุบัติเหตุก็ต้องการ X-Ray ตรวจละเอียด (เลือกแผนประกันที่พ่วงอุบัติเหตุ ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลต่อครั้งอย่างน้อย 20,000 บาท)

เพราะฉะนั้นสรุปแล้ว หากคุณมีเพียงแค่สิทธิ์บัตรทอง ก็ลองมองหาประกันสุขภาพเด็กที่ตอบโจทย์ 3 อย่างนี้ ซึ่งเบี้ยจะอยู่ที่ประมาณ 5,000 – 8,000 บาทต่อปี แต่ถ้าเป็นประกันพ่วงประกันชีวิต หรือประกันการออม ก็จะมีเบี้ย 20,000 – 50,000 บาทต่อปี ขึ้นอยู่กับว่าจะจ่ายไหวหรือเปล่า

ตัวอย่างแผนประกันที่เหมาะสม : ประกันสุขภาพเหมาจ่าย, ประกันสุขภาพเฉพาะโรคยอดฮิต, ประกันอุบัติเหตุ

2. ทำประกันเด็กเสริมกับสิทธิ์เบิกข้าราชการ ต้องเลือกแบบไหน

คุณพ่อคุณแม่ที่ทำอาชีพข้าราชการ เบิกค่ารักษาพยาบาลให้แก่บุตรได้ หากไม่อยากจ่ายเพิ่มเลย ก็ไม่ต้องทำประกันสุขภาพเสริมได้ หรือมีติดไว้นิดหน่อยเพื่อความสะดวก เนื่องจาก

  • สิทธิ์เบิกค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ เบิกได้ทั้งหมด 100% กับโรงพยาบาลรัฐบาลอย่างเดียว
  • การรอตรวจ รอพบแพทย์เฉพาะทาง ก็ต้องมาตามวันนัด

ดังนั้นประกันเด็กที่เหมาะสมกับคุณพ่อคุณแม่ที่มีสิทธิ์เบิกข้าราชการ ได้แก่

  • ประกันสุขภาพที่เป็นสัญญาพ่วงจากประกันชีวิต หรือประกันสะสมทรัพย์หลัก เพราะใช้เบิกกับค่าส่วนเกิน ส่วนต่าง เมื่อเลือกนอนห้องโรงพยาบาลเอกชน
  • เลือกสัญญาพ่วงที่มีค่าชดเชยรายได้ สำหรับคนเฝ้า มีให้เลือกตั้งแต่ 500 – 1,000 บาท เด็กเล็กๆ ป่วยบ่อย อย่างน้อยก็ได้นอนปีละ 5 – 10 วันเป็นอย่างต่ำ

เพราะฉะนั้น สรุปแล้วหากพ่อแม่มีสิทธิ์เบิกข้าราชการก็สามารถทำประกันสุขภาพเด็กที่เป็นสัญญาพ่วงจากประกันชีวิตหลัก และประกันออมทรัพย์ได้ผลประโยชน์คุ้มกว่าการเลือกแผนค่าห้อง ค่ารักษาพยาบาลที่แยกออกมา

ตัวอย่างแผนประกันที่เหมาะสม : ประกัน TOP UP

3. ทำประกันเด็กเสริมกับสิทธิ์เบิกประกันกลุ่มบริษัท ต้องเลือกแบบไหน

เมื่อเทียบกับสิทธิ์การรักษา 2 แบบที่กล่าวมาข้างต้น เด็กที่มีสิทธิ์เบิกค่ารักษาประกันกลุ่มบริษัทพ่อแม่นี้ มีน้อยกว่ามาก เพราะอย่างที่ทราบกันว่ายุคนี้เป็นยุคที่เด็กเกิดน้อย หลายบริษัทก็ได้ยกเลิกการทำประกันให้กับบุตรหลานของพนักงานออกไปด้วย แต่ก็ยังมีเหลือเฉพาะองค์กรที่เห็นความสำคัญของสถาบันครอบครัว เช่น บริษัทข้ามชาติ และบริษัทไทยที่ดำเนินกิจการอย่างเป็นสากล

เด็กที่ทำประกันกลุ่มบริษัทพ่อแม่ จะมีค่ารักษาพยาบาลที่แยกออกชัดเจน บนหน้าบัตร เหมือนของพ่อหรือแม่ ยกตัวอย่างเช่น

  • ค่ารักษา OPD 2,000 บาท
  • ค่า X-Ray/Lab 2,200 บาท ต่อครั้ง
  • ค่ารักษาอุบัติเหตุต่อครั้ง 6,000 บาท ต่อครั้ง
  • ค่ารักษาเมื่อเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล (IPD) 40,000 บาทต่อครั้ง
  • ค่าห้องและค่าอาหารเมื่อเข้ารักษาแบบผู้ป่วยใน 3,000 บาทต่อวัน
  • ค่าเยี่ยมไข้โดยแพทย์ 1,000 บาทต่อวัน
  • และอื่นๆ

ซึ่งจากข้อมูลข้างต้นนี้ เด็กจะได้รับสิทธิ์ประกันสุขภาพตามหน้าบัตรที่ได้รับสวัสดิการจากบริษัทพ่อแม่ แต่ก็มีความเสี่ยงว่าหากพ่อแม่เปลี่ยนงาน บริษัทใหม่ก็ไม่มีสวัสดิการนี้ หรือเมื่อเด็กต้องเจอกับโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง อาทิ RSV, ไข้เลือดออก หรือประสบอุบัติเหตุต้องเข้า ICU ก็ต้องเสี่ยงกับค่ารักษาหลักแสน ดังนั้นมีหลายคนเลือกทำประกันสุขภาพเด็กเสริมขึ้นมา ด้วยวัตถุประสงค์ดังนี้

  • ต้องการค่าห้องเพิ่มเติม
  • ต้องการทุนประกันคุ้มครองค่ารักษาผู้ป่วยใน (IPD) เพิ่มเติม
  • ต้องการความคุ้มครองเมื่อต้องเข้ารักษาใน ICU เพิ่มเติม
  • ต้องการเพิ่มวงเงินรักษากรณีเกิดอุบัติเหตุ
  • ต้องการค่าชดเชยรายได้ผู้ปกครองที่เฝ้าไข้
  • และอื่นๆ

ตัวอย่างแผนประกันที่เหมาะสม : ประกันสุขภาพ TOP UP, ประกันสุขภาพเฉพาะโรคยอดฮิต, ประกันอุบัติเหตุ

ในบทความหน้าจะมาแนะนำประกันแบบไหนที่เหมาะสำหรับเด็กๆ ที่มีสิทธิ์เบิกพื้นฐานแต่ละแบบ อย่าลืมกลับมาติดตามกันนะครับ

แท็ก : ประกันเด็ก 2567,ประกันเด็กที่ไหนดี,ประกันสุขภาพลูกน้อย,ประกันเด็กเหมาจ่าย,ประกันเด็กที่ไหนดี,ประกันสุขภาพเด็กรายเดือน,ประกันสุขภาพเด็ก 3 ขวบ,ประกันเด็ก AIA ดีไหม,ประกันสุขภาพเด็กโต,วิธีเลือกประกันสุขภาพเด็ก,ประกันสุดคุ้มเพื่อลูกน้อย,ประกันเด็ก alianz,ประกันสุขภาพเด็ก,ประกันสุขภาพเด็ก generali,เด็กต้องทำประกันไหม,ประกันวัยซน กสิกร,ประกัน PA for kid กสิกร,ประกันให้ลูก,ทำประกันให้ลูก aia,วิธีเลือกประกันสุขภาพเด็ก,ประกันอุบัติเหตุเด็ก

ใส่ความเห็น