ในปี 2568 (2025) เกณฑ์มาตรฐานที่ถือว่า “เมาแล้วขับ” คือการมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์(สำหรับบุคคลทั่วไป) และเกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ (สำหรับผู้ขับขี่อายุต่ำกว่า 20 ปี หรือผู้ที่มีใบขับขี่ชั่วคราว) โดยมีรายละเอียดค่าปรับดังนี้
กรณีทำผิด “เมาแล้วขับ” ครั้งแรก
หากตรวจพบปริมาณแอลกอฮอล์เกินกำหนดและเป็นการกระทำความผิดครั้งแรก:
- โทษจำคุก: ไม่เกิน 1 ปี
- โทษปรับ: 5,000 – 20,000 บาท
- บทลงโทษเพิ่มเติม: พักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาต
2. กรณีทำผิดซ้ำ (ภายใน 2 ปีนับจากครั้งแรก)
นี่คือจุดที่กฎหมายเข้มงวดขึ้นอย่างมาก หากทำผิดซ้ำภายในระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันที่กระทำความผิดครั้งแรก:
- โทษจำคุก: ไม่เกิน 2 ปี
- โทษปรับ: 50,000 – 100,000 บาท
- บทลงโทษเพิ่มเติม: พักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาต
3. กรณีเมาแล้วขับจนเกิดอุบัติเหตุ
หากการดื่มแล้วขับส่งผลให้ผู้อื่นได้รับอันตราย บทลงโทษจะทวีความรุนแรงตามระดับความเสียหาย:
- ทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ: จำคุก 1-5 ปี และปรับ 20,000 – 100,000 บาท
- ทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บสาหัส: จำคุก 2-6 ปี และปรับ 40,000 – 120,000 บาท
- ทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย: จำคุก 3-10 ปี และปรับ 60,000 – 200,000 บาท (พร้อมเพิกถอนใบอนุญาตทันที)
4. ปฏิเสธการเป่า = เมา
หากเจ้าหน้าที่เรียกตรวจแล้วผู้ขับขี่ ปฏิเสธการตรวจวัดแอลกอฮอล์ กฎหมายจะถือว่าคุณ “เมาแล้วขับ” โดยปริยายทันที และมีโทษเท่ากับกรณีทำผิดครั้งแรก (จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ 10,000 – 20,000 บาท)
ระบบตัดแต้มใบขับขี่
นอกจากโทษปรับและจำคุกแล้ว ข้อหาเมาแล้วขับยังถือเป็นความผิดร้ายแรงที่ถูก “ตัดคะแนนความประพฤติ 4 คะแนน”ทันที (จากคะแนนเต็ม 12 คะแนน) ซึ่งอาจส่งผลให้ถูกสั่งพักใช้ใบขับขี่ได้เร็วกว่าปกติ
การเมาแล้วขับในปี 2025 มีค่าปรับที่อาจสูงถึง 100,000 บาท และมีโอกาสติดคุกจริงโดยไม่รอลงอาญาหากเป็นการกระทำผิดซ้ำ “ดื่มไม่ขับ” จึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและประหยัดที่สุดครับ

