ในโลกของการตลาดออนไลน์และ SEO คำว่า CTR (Click-Through Rate) ถือเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุดในการวัดผลความสำเร็จของการทำโฆษณาและการจัดอันดับเว็บไซต์ บทความนี้ Mycontent-thai.com พาคุณมารู้จักความหมายของค่า CTR และมาดูกันว่าเว็บไซต์ที่ดี ควรมีค่า CTR เท่าไหร่?
CTR คืออะไร? (Click-Through Rate)
CTR (Click-Through Rate) คือ อัตราส่วนระหว่างจำนวน “คลิก” (Clicks) ต่อจำนวน “การแสดงผล” (Impressions) ทั้งหมด ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่าเนื้อหาหรือโฆษณาของคุณน่าสนใจดึงดูดให้ผู้คนคลิกเข้าไปดูมากน้อยเพียงใด
นั่นหมายความว่าผู้ที่เห็นโฆษณาของคุณ 100 คน จะมี 5 คนที่เลือกคลิก
ความสำคัญของ CTR ต่อการตลาดออนไลน์และ SEO
CTR ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลข แต่เป็นสัญญาณสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพการทำตลาดออนไลน์ในหลายด้าน
ความสำคัญต่อ SEO (Search Engine Optimization)
สำหรับเว็บไซต์ที่ติดอันดับบนหน้าค้นหาของ Google (Organic Search) CTR เป็นปัจจัยจัดอันดับที่สำคัญมาก (Ranking Factor)
- Google เข้าใจว่าเนื้อหาน่าสนใจ: หากเว็บไซต์ของคุณติดอันดับที่ 5 แต่มี CTR สูงกว่าเว็บไซต์ที่ติดอันดับ 1 แสดงว่าผู้ใช้ค้นหาและตัดสินใจคลิกเข้าเว็บไซต์ของคุณมากกว่า Google จะตีความว่า “เว็บไซต์ของคุณตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ได้ดีกว่า”
- ปรับปรุงอันดับเว็บไซต์: การมี CTR ที่สูงกว่าคู่แข่งในอันดับใกล้เคียง จะช่วยส่งสัญญาณให้ Google ขยับอันดับเว็บไซต์ของคุณให้สูงขึ้น เพื่อให้ผู้ใช้ค้นพบเนื้อหาที่ดีที่สุดได้ง่ายขึ้น
ความสำคัญต่อ PPC (Pay Per Click) หรือ Google Ads/Facebook Ads
ในบริบทของการโฆษณาแบบเสียเงิน CTR เป็นหัวใจสำคัญที่กำหนด ต้นทุนต่อคลิก (CPC) และคุณภาพของโฆษณา
- ลดต้นทุนโฆษณา: ในแพลตฟอร์มอย่าง Google Ads, CTR ที่สูงจะนำไปสู่ Quality Score (คะแนนคุณภาพ) ที่สูงขึ้น และเมื่อ Quality Score สูงขึ้น คุณจะสามารถประมูลราคาโฆษณาได้ถูกลง (จ่ายน้อยลง) แต่โฆษณาแสดงผลในอันดับที่ดีกว่าคู่แข่ง
- เพิ่มประสิทธิภาพโฆษณา: CTR ที่สูงแสดงว่าข้อความโฆษณา (Headline และ Description) นั้น ดึงดูดและมีความเกี่ยวข้องกับคำค้นหา ของผู้ใช้ได้ดีมาก ทำให้โฆษณามีโอกาสถูกคลิกและนำไปสู่การแปลง (Conversion) มากขึ้น
การวัดผลประสิทธิภาพเนื้อหา (Content Effectiveness)
- ประเมินความน่าสนใจ: CTR ช่วยให้คุณทราบว่า หัวข้อ (Title Tag) และคำบรรยาย (Meta Description) ของบทความบนเว็บไซต์นั้นน่าสนใจเพียงพอที่จะทำให้คนคลิกเข้ามาอ่านหรือไม่ หาก CTR ต่ำ แม้จะติดอันดับดี ก็หมายความว่าต้องมีการปรับปรุงหัวข้อให้ดึงดูดใจมากขึ้น
วิธีปรับปรุง CTR ให้สูงขึ้นทั้ง SEO และโฆษณา
การเพิ่ม CTR คือการเพิ่มความน่าดึงดูดใจให้กับสิ่งที่ผู้ใช้มองเห็นเป็นสิ่งแรกบนหน้าจอสำหรับ SEO (Organic Search)
- ปรับปรุง Title Tag (หัวข้อ):
- ใส่ Keywords หลักไว้ด้านหน้า
- ใช้คำที่กระตุ้นความอยากรู้ หรือสร้างประโยชน์ เช่น “ที่สุด”, “วิธี”, “ทำไม”, “อัพเดท 2025”
- เพิ่มตัวเลขหรือสถิติ เช่น “10 วิธี…”, “7 ข้อที่ต้องรู้”
- เขียน Meta Description ที่น่าดึงดูด:
- สรุปเนื้อหาให้ชัดเจนและกระตุ้นการคลิก
- ใส่ Call-to-Action (CTA) เช่น “คลิกเพื่อดู”, “อ่านต่อที่นี่”
- ใช้ Unicode Symbol (เช่น ⭐️, ✅, 🚀) เล็กน้อยเพื่อช่วยให้โดดเด่นบนหน้าค้นหา
สำหรับ PPC (โฆษณา)
- ใช้ส่วนขยายโฆษณา (Ad Extensions): เพิ่มข้อมูลเพิ่มเติมเข้าไปในโฆษณา เช่น Sitelinks, Callout, หรือ Call Extensions เพื่อทำให้โฆษณามีขนาดใหญ่ขึ้นและให้ข้อมูลที่ผู้ใช้อาจต้องการทันที
- ความเกี่ยวข้องของคำค้นหากับโฆษณา: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อความโฆษณามีคำสำคัญที่ผู้ใช้ค้นหาอย่างตรงไปตรงมา
- ทดสอบ A/B Testing: สร้างโฆษณาหลายเวอร์ชันด้วยหัวข้อและคำบรรยายที่แตกต่างกัน เพื่อค้นหาว่าข้อความใดที่ให้ CTR สูงที่สุด
CTR ที่ดีควรอยู่ที่เท่าไหร่?
ไม่มีตัวเลขตายตัวสำหรับ CTR ที่ “ดีที่สุด” เนื่องจากขึ้นอยู่กับประเภทของแพลตฟอร์มที่คุณทำ ไม่ว่าจะเป็น เว็บไซต์ เฟซบุ๊ก หรือทางอีเมล ได้แก่
| แพลตฟอร์ม/ช่องทาง | CTR เฉลี่ยโดยประมาณ |
| SEO (Organic Search) | 3% – 5% (ยิ่งติดอันดับสูง ยิ่งสูงขึ้น) |
| Google Search Ads (PPC) | 1.9% – 6% (ขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรม) |
| Facebook Ads | 0.9% – 1.5% |
| Email Marketing | 2% – 5% |
สรุปคือสำหรับคนทำเว็บไซต์ ที่ต้องการให้ติด SEO สูงๆ มักต้องสร้างบทความคุณภาพให้มี CTR อยู่ที่ 28% – 32% ซึ่งปัจจุบันถ้าหากเว็บของคุณมีค่า CTR ต่ำกว่า 10 ก็ควรเลือกกลับมาโฟกัสกลุ่มคีย์เวิร์ดที่ครอบคลุมบทความให้มีค่า CTR เพิ่มขึ้น เพื่อให้ได้ส่วนแบ่งการคลิกจาก Google Search ที่มากที่สุด
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องกับการทำ SEO



