การดูแลรักษาผ้าไหมแบบโบราณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตำรับชาววังนั้น ถือเป็นศิลปะที่ละเอียดอ่อนและพิถีพิถันในทุกขั้นตอน ไม่เพียงแค่ความสะอาด แต่ยังรวมถึงความเงางามและกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ ภูมิปัญญานี้มีขั้นตอนที่น่าสนใจมากมาย หนึ่งในนั้นคือ “การขัดผ้าด้วยหอยเบี้ย” ซึ่งเป็นเคล็ดลับสำคัญที่ทำให้เนื้อผ้าไหมขึ้นเงาวาวงดงามดุจแพรพรรณชั้นสูง
สำหรับผู้ที่หลงใหลในผ้าไหมไทยและต้องการฟื้นฟูความเงางามของผ้าด้วยวิธีการแบบดั้งเดิม บทความนี้จะเผยขั้นตอนสำคัญของการขัดผ้าไหมให้ขึ้นเงาด้วยหอยเบี้ยตามแบบฉบับชาววังขั้นตอนสำคัญในการขัดผ้าไหมให้ขึ้นเงาด้วยหอยเบี้ย
การขัดผ้าด้วยเปลือกหอยเบี้ยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการดูแลผ้าไหมแบบชาววัง ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากขั้นตอนการซักและทำให้ผ้าแห้งสนิทแล้ว โดยมีขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้:
1. การเตรียมผ้าหลังซัก (ขั้นตอนเบื้องต้น)
ก่อนจะถึงขั้นตอนการขัด ผ้าไหมจะต้องผ่านการเตรียมการตามแบบฉบับโบราณ ซึ่งมีความเฉพาะเจาะจงเพื่อถนอมใยผ้าและเพิ่มกลิ่นหอม:
- การซักทำความสะอาด: ผ้าแต่ละชนิด (ผ้านุ่ง ผ้ายกทอง) จะมีวิธีซักที่แตกต่างกัน เพื่อรักษาคุณภาพของเส้นใย
- การต้ม/แช่: ผ้าไหมบางประเภทจะถูกนำไปต้มในน้ำที่ผสมด้วย น้ำชะลูดหอม และ ลูกซัด ซึ่งนอกจากจะช่วยทำความสะอาดแล้ว ยังช่วยให้กลิ่นหอมซึมซาบเข้าสู่เนื้อผ้าอีกด้วย
- การตากให้แห้ง: นำผ้าที่ผ่านการซักและต้มแล้วไปตากให้แห้งสนิท
2. การขัดด้วยเปลือกหอยเบี้ย (เคล็ดลับความเงา)
เมื่อผ้าแห้งสนิทแล้ว จะเข้าสู่หัวใจของกระบวนการ นั่นคือ “การขัด” เพื่อให้ผ้าเกิดความเงาวาวตามธรรมชาติของเส้นไหม:
- อุปกรณ์: ใช้ เปลือกหอยเบี้ย (หรือในบางยุคสมัยอาจมีการใช้หินโมรา ลูกปืนโบราณ หรือก้นขวด) เป็นเครื่องมือในการขัด
- วิธีการขัด: นำเปลือกหอยเบี้ยมาขัดถูไปบนเนื้อผ้าอย่างเบามือและสม่ำเสมอ การขัดนี้ต้องใช้ความประณีตและแรงที่พอเหมาะ เพื่อให้เกิดความร้อนและแรงกดที่ช่วยปิดเกล็ดของเส้นใยไหมให้เรียบเนียน เนื้อผ้าจึงสะท้อนแสงและเกิดความ “เงาวาว” สวยงาม
หมายเหตุ: การขัดผ้าเป็นงานที่ต้องใช้ทักษะและความอดทนสูง ต้องมั่นใจว่าผ้าสะอาดและแห้งสนิทก่อนเริ่มขัดเพื่อป้องกันการเกิดรอยด่างหรือความเสียหายต่อใยผ้า
3. การอบร่ำ (ขั้นตอนเพิ่มกลิ่นหอม)
หลังจากขัดจนผ้าขึ้นเงาแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเพิ่มกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของชาววัง:
- การร่ำ: นำผ้าที่ขัดแล้วใส่ใน โถหรือหีบทึบ ที่ปิดแน่นสนิท แล้วทำการอบหรือปรุงผ้าให้มีกลิ่นหอม ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี เช่น
- ร่ำด้วยควันเทียนอบ: ใช้ควันจากเทียนอบที่มีส่วนผสมของเครื่องหอมต่าง ๆ (กำยาน, กฤษณา, จันทน์หอม ฯลฯ)
- ร่ำด้วยดอกไม้สด: ใช้ดอกไม้หอม เช่น มะลิ สารภี ประยงค์ หรือ
- ร่ำด้วยน้ำปรุง: ใช้น้ำหอมปรุงพิเศษเพื่อเพิ่มกลิ่นหอมที่ซึมซาบเข้าเนื้อผ้า
4. การอัดและจับจีบ (ขั้นตอนสุดท้ายเพื่อความคงรูป)
สำหรับผ้าที่ต้องการให้อยู่ทรง เช่น ผ้าสไบ หรือผ้าที่ต้องมีจีบสวยงาม จะเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้าย:
- การจับจีบ: ผ้าสไบจะถูกจับจีบอย่างประณีต โดยบางครั้งอาจต้องใช้คนสองคนช่วยกันทำ
- การอัด: ใช้ ไม้ที่มีน้ำหนัก มาทับผ้าที่จับจีบแล้วให้คงรูป หรือใช้เครื่องมือเฉพาะทางที่เรียกว่า “รางจีบ” ซึ่งมีลิ้นเป็นชั้น ๆ เพื่อให้ผ้าเป็นจีบสวยงามและอยู่ทรงคงทน
วิธีทำให้ผ้าไหมขึ้นเงาด้วยหอยเบี้ยขัดแบบโบราณเป็นมากกว่าแค่การดูแลรักษา แต่คือการผสมผสานระหว่างศาสตร์และศิลป์ที่สืบทอดกันมา การขัดด้วยหอยเบี้ยคือภูมิปัญญาที่ใช้หลักการทางกายภาพในการทำให้เส้นใยไหมที่สะอาดและแห้งแล้วเรียบเนียนที่สุด จนเกิดเป็นประกายเงางามตามธรรมชาติ เมื่อรวมกับการอบร่ำเครื่องหอม ผ้าไหมนั้นจึงไม่เพียงแต่สวยงาม แต่ยังเปี่ยมด้วยคุณค่าทางวัฒนธรรมและความหอมที่ยาวนานตามแบบฉบับของเครื่องแต่งกายชาววังอย่างแท้จริง
ที่มา :
- นิทรรศการ “ขัด รีด ร่ำ การดูแลรักษาผ้าแบบชาววัง”., https://artsandculture.google.com/story/pwXxhLR90-OiIg?hl=th
Read More :





