ประเทศที่ทำรั้ว-กำแพงกั้นเขตชายแดน มีที่ไหนบ้าง?

ประเทศที่ทำรั้ว-กำแพงกั้นเขตชายแดน มีที่ไหนบ้าง?

สถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชากว่าหลายสิบปีนี้ทำให้มีการพูดถึงการสร้างกำแพงกั้นเขตแดน เพื่อป้องกันปัญหาข้อพิพาททางพื้นที่ รวมไปถึงการอพยพลักลอบเข้าเมืองตามชายแดนธรรมชาติอย่างผิดกฎหมาย ปัจจุบันนี้มีหลายประเทศทั่วโลกเลือกสร้าง “กำแพงกั้นเขตแดน” (Border Wall / Border Fence) เพื่อป้องกันปัญหาความมั่นคงต่างๆ ดังที่จะนำเสนอต่อไปนี้

ตัวอย่างประเทศที่มี “กำแพงกั้นเขตแดน”

1. สหรัฐอเมริกา – เม็กซิโก

กำแพงกั้นเขตแดน สหรัฐอเมริกา สหรัฐอเมริกา – เม็กซิโก
สหรัฐอเมริกา – เม็กซิโก

กำแพงกั้นเขตแดนระหว่างสหรัฐอเมริกากับเม็กซิโกถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ทางการเมืองและความมั่นคงที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ชายแดนสองประเทศยาวรวมประมาณ 3,145 กิโลเมตร แต่มีการสร้างรั้วและกำแพงจริงครอบคลุมกว่าพันกิโลเมตร ลักษณะโครงสร้างมีความหลากหลาย บางส่วนเป็นรั้วเหล็กเส้นตั้งสูง บางช่วงใช้กำแพงคอนกรีตเสริมเหล็ก และมีพื้นที่ที่ติดตั้งระบบอิเล็กทรอนิกส์ กล้องวงจรปิด เซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว และไฟส่องสว่าง จุดประสงค์หลักของโครงการนี้คือการควบคุมการลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งสหรัฐอเมริกาเผชิญอย่างต่อเนื่องจากแรงงานอพยพชาวละตินอเมริกา โดยเฉพาะจากเม็กซิโกและอเมริกากลาง อีกทั้งยังใช้เพื่อป้องกันการลักลอบค้ายาเสพติดและการก่ออาชญากรรมข้ามชาติ กำแพงนี้เริ่มก่อสร้างจริงจังตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1990 และถูกผลักดันให้ขยายเพิ่มเติมในสมัยรัฐบาลจอร์จ ดับเบิลยู. บุช และโดนัลด์ ทรัมป์ แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่ากำแพงไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งหมด แต่ก็ยังเป็นเครื่องมือที่รัฐบาลใช้ควบคู่กับเทคโนโลยีสมัยใหม่และกำลังเจ้าหน้าที่ชายแดน เพื่อรักษาความปลอดภัยของประเทศ

2. อิสราเอล

อิสราเอลสร้างกำแพงกั้นเขตแดนในหลายพื้นที่ โดยที่สำคัญคือกำแพงเวสต์แบงก์และกำแพงกาซา กำแพงเวสต์แบงก์มีความยาวกว่า 700 กิโลเมตร สร้างขึ้นเพื่อลดการก่อการร้ายและควบคุมความขัดแย้งกับปาเลสไตน์ ลักษณะเป็นกำแพงคอนกรีตสูงประมาณ 8 เมตร ในบางช่วงเสริมด้วยรั้วลวดหนาม เซนเซอร์ตรวจจับ และระบบกล้องวงจรปิดที่ทันสมัย ทำให้การเคลื่อนไหวระหว่างพื้นที่ถูกควบคุมอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ยังมีหอคอยเฝ้าระวังที่ตั้งอยู่เป็นระยะ สำหรับกำแพงกาซา ถือเป็นระบบป้องกันที่ซับซ้อนยิ่งกว่า เพราะนอกจากจะมีรั้วและโครงสร้างเหนือดินแล้ว ยังมีการติดตั้งเซนเซอร์ใต้ดินเพื่อป้องกันการขุดอุโมงค์ลักลอบจากฝั่งฉนวนกาซา กำแพงทั้งสองสะท้อนถึงสถานการณ์ด้านความมั่นคงที่อิสราเอลเผชิญมาอย่างยาวนาน การสร้างกำแพงเหล่านี้แม้จะช่วยลดเหตุโจมตีและการลักลอบได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนานาชาติว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และยิ่งทำให้ความขัดแย้งกับชาวปาเลสไตน์ร้าวลึกขึ้น อย่างไรก็ตาม อิสราเอลยังคงยืนยันว่ากำแพงเหล่านี้เป็นมาตรการจำเป็นเพื่อความปลอดภัยของประชาชนตนเอง

3. อินเดีย

อินเดียมีโครงการสร้างรั้วชายแดนที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยเฉพาะชายแดนติดกับบังกลาเทศซึ่งมีความยาวราว 3,200 กิโลเมตร รั้วนี้ใช้ลวดหนาม เสาเหล็ก และบางช่วงเสริมระบบไฟฟ้าและไฟส่องสว่าง จุดประสงค์หลักคือการควบคุมการลักลอบเข้าเมืองของแรงงานและผู้อพยพจากบังกลาเทศ รวมถึงการสกัดการลักลอบค้าสินค้าเถื่อนและยาเสพติด นอกจากนั้น อินเดียยังมีชายแดนที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดกับปากีสถาน โดยเฉพาะแนว “Line of Control” (LoC) ในแคชเมียร์ ที่ซึ่งทั้งสองประเทศมีข้อพิพาทดินแดนและเคยทำสงครามกันหลายครั้ง บริเวณนี้มีรั้วลวดหนามสูงสองชั้น เสริมด้วยกับระเบิด พื้นที่ตรวจการณ์ และฐานทัพที่ประจำการทหารนับหมื่น กำแพงและรั้วเหล่านี้ทำให้การเคลื่อนไหวของประชาชนถูกจำกัดอย่างมาก และยังเป็นจุดที่เกิดการปะทะกันเป็นระยะ อินเดียจึงใช้กำแพงชายแดนเป็นเครื่องมือด้านความมั่นคงและการควบคุมการอพยพในภูมิภาคที่มีประชากรหนาแน่นและเต็มไปด้วยความท้าทายทางการเมือง

4. เกาหลีเหนือ – เกาหลีใต้ (DMZ)

กำแพงกั้นเขตแดน เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้

เขตปลอดทหาร หรือ Demilitarized Zone (DMZ) ระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ ถือเป็นพื้นที่ชายแดนที่มีการรักษาความปลอดภัยแน่นหนาที่สุดในโลก ความยาวประมาณ 250 กิโลเมตร และกว้างราว 4 กิโลเมตร DMZ ถูกจัดตั้งขึ้นหลังสงครามเกาหลีปี 1953 โดยเป็นเส้นแบ่งที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไว้ ลักษณะของเขตแดนนี้ไม่ได้เป็นกำแพงทึบตลอดแนว แต่เต็มไปด้วยสิ่งกีดขวางหลายชั้น ทั้งรั้วลวดหนาม คูน้ำ ทุ่นระเบิด สนามเพลาะ และฐานทหารที่ตั้งอยู่หนาแน่นตลอดแนว ทหารจากทั้งสองประเทศประจำการคุมเข้ม และยังมีการลาดตระเวนด้วยกล้องและเรดาร์สอดแนมตลอด 24 ชั่วโมง DMZ ไม่เพียงแต่เป็นเขตป้องกันทางทหาร แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการแบ่งแยกทางการเมืองและอุดมการณ์ระหว่างคอมมิวนิสต์และประชาธิปไตย พื้นที่นี้ยังกลายเป็นเขตอนุรักษ์ธรรมชาติไปโดยปริยาย เนื่องจากไม่มีการตั้งถิ่นฐานของประชาชนมานานหลายสิบปี แม้จะเป็นเขตที่อันตราย แต่ก็ถูกใช้เป็นพื้นที่สำหรับการเจรจาสันติภาพในบางครั้ง

5. โมร็อกโก – เวสเทิร์นสะฮารา

กำแพงกั้นเขตแดนที่โมร็อกโกสร้างขึ้นในเวสเทิร์นสะฮารา เรียกว่า “Berm” มีความยาวกว่า 2,700 กิโลเมตร และถือเป็นกำแพงทรายที่ยาวที่สุดในโลก โครงสร้างของ Berm ไม่ได้เป็นคอนกรีตหรือเหล็ก แต่เป็นคันดินและแนวทรายที่ก่อสูงยาวติดต่อกันหลายพันกิโลเมตร โดยมีการเสริมทุ่นระเบิด ลวดหนาม และฐานทหารกระจายอยู่ตามจุดยุทธศาสตร์ กำแพงนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เพื่อควบคุมพื้นที่พิพาทกับขบวนการโพลีซาริโอ (Polisario Front) ซึ่งเรียกร้องเอกราชให้กับประชาชนในเวสเทิร์นสะฮารา Berm แบ่งดินแดนออกเป็นสองส่วน โดยฝั่งที่โมร็อกโกควบคุมมีเมืองหลักและทรัพยากรสำคัญ ขณะที่อีกฝั่งเป็นพื้นที่ที่โพลีซาริโออ้างสิทธิ์ การมีอยู่ของกำแพงนี้จึงไม่เพียงเป็นมาตรการด้านความมั่นคง แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของข้อพิพาทดินแดนที่ยังไม่ยุติ การเดินทางผ่านเส้นนี้มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากกับระเบิดและการลาดตระเวนของทหาร ทำให้เป็นหนึ่งในชายแดนที่เข้าถึงได้ยากที่สุดในโลก

6. ฮังการี และกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก

หลังวิกฤตผู้ลี้ภัยปี 2015 ฮังการีเป็นหนึ่งในประเทศยุโรปที่ตัดสินใจสร้างรั้วชายแดนเพื่อควบคุมการอพยพ รั้วนี้สร้างขึ้นติดชายแดนเซอร์เบียและโครเอเชีย มีความยาวรวมประมาณ 175 กิโลเมตร ลักษณะเป็นรั้วเหล็กสูงเสริมลวดหนามและติดตั้งกล้องวงจรปิด จุดตรวจ และไฟส่องสว่าง รัฐบาลฮังการีอ้างว่ามาตรการนี้มีความจำเป็นเพื่อรักษาความมั่นคงและป้องกันการเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายจากผู้ลี้ภัยที่เดินทางมาจากตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ เหตุการณ์นี้ส่งผลต่อทิศทางนโยบายของยุโรปตะวันออก ประเทศอื่น ๆ เช่น บัลแกเรีย กรีซ และสโลวีเนีย ก็สร้างรั้วในลักษณะเดียวกันเพื่อควบคุมเส้นทางผู้อพยพ รั้วเหล่านี้จึงไม่ใช่เพียงมาตรการด้านกายภาพ แต่ยังสะท้อนถึงการเมืองภายในประเทศและทัศนคติที่แข็งกร้าวต่อการอพยพ รั้วฮังการีกลายเป็นสัญลักษณ์ของการแบ่งแยกและความขัดแย้งทางอุดมการณ์ระหว่างประเทศยุโรปตะวันตกที่เปิดรับผู้ลี้ภัยมากกว่า กับยุโรปตะวันออกที่มุ่งเน้นความมั่นคงของตนเอง

7. ซาอุดีอาระเบีย

กำแพงกั้นเขตแดนซาอุดิอารเบีย อิรัก

ซาอุดีอาระเบียมีการสร้างกำแพงและรั้วกั้นชายแดนในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะชายแดนติดกับอิรักและเยเมน ซึ่งเป็นจุดที่มีความไม่มั่นคงสูง รั้วเหล่านี้ประกอบด้วยลวดหนามหลายชั้น กล้องวงจรปิด เซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว และฐานทัพที่ประจำการทหารพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ จุดประสงค์หลักคือการป้องกันการก่อการร้าย การลักลอบค้าอาวุธ และการแทรกซึมของกลุ่มติดอาวุธ โดยเฉพาะจากเยเมนที่มีสงครามกลางเมืองยืดเยื้อ กำแพงชายแดนซาอุดีอาระเบียยังทำหน้าที่ควบคุมการลักลอบเข้าเมืองของแรงงานต่างด้าว เนื่องจากซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศที่มีแรงดึงดูดสูงด้านเศรษฐกิจและแรงงาน ความเข้มงวดของชายแดนนี้สะท้อนถึงบทบาทของซาอุดีอาระเบียในฐานะผู้นำภูมิภาคตะวันออกกลางที่ต้องรักษาความมั่นคงของตนเอง พร้อมทั้งรับมือกับภัยคุกคามด้านความมั่นคงชายแดนในภูมิภาคที่มีความเปราะบางสูง

8. จีน

แม้ว่ากำแพงเมืองจีนในอดีตจะเป็นสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ แต่ในปัจจุบันรัฐบาลจีนก็ยังคงสร้างรั้วและกำแพงชายแดนสมัยใหม่เพื่อวัตถุประสงค์ด้านความมั่นคงและการควบคุมการอพยพ รั้วเหล่านี้ปรากฏตามพรมแดนติดกับเกาหลีเหนือ พม่า และปากีสถาน โครงสร้างเป็นรั้วเหล็กสูงเสริมลวดหนาม พร้อมด้วยระบบกล้องและจุดตรวจการณ์ ลักษณะพิเศษของรั้วที่ชายแดนเกาหลีเหนือ คือการควบคุมการลักลอบเข้าเมืองของชาวเกาหลีเหนือที่พยายามหนีเข้าสู่จีนเพื่อหางานหรือหลบหนีการกดขี่ ส่วนรั้วที่ชายแดนพม่าและปากีสถานถูกใช้เพื่อสกัดกั้นการลักลอบค้าอาวุธ ยาเสพติด และการลักลอบข้ามแดนโดยไม่ได้รับอนุญาต การสร้างรั้วเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของจีนที่มุ่งควบคุมพื้นที่ชายแดนที่ซับซ้อนและยากต่อการควบคุม อีกทั้งยังเป็นมาตรการเพื่อรักษาเสถียรภาพทางสังคมและเศรษฐกิจภายในประเทศ

ประเทศต่างๆ ที่มีกำแพงกั้นเขตแดนที่ยกตัวอย่างมานี้ สร้างขึ้นเพื่อบ่งบอกเขตแดนที่ชัดเจน บางประเทศมีความขัดแย้งทางอุดมการณ์ทางการเมือง รวมไปถึงป้องกันการใช้ชายแดนธรรมชาติเป็นการอพยพหลบหนีเข้าออกประเทศ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่ใช้กำแพงและรั้วเป็นสิ่งก่อสร้างที่กั้นเขตแดนอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันข้อพิพาทต่างๆ ต่อไป

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น