แผนที่ประเทศไทยกัมพูชา ชนวนข้อพิพาทชายแดน

แผนที่ประเทศไทยกัมพูชา ชนวนข้อพิพาทชายแดน

ประเทศไทยและประเทศกัมพูชามีอารยธรรมที่เกี่ยวข้องกันมาตั้งแต่สมัยโบราณนับตั้งแต่เป็นดินแดนสุวรรณภูมิเมื่อ 1,000 ปีก่อน ทั้งสองประเทศมีเทือกเขาและสันปันน้ำที่ทำให้เกิดการแบ่งพื้นที่อยู่อาศัยกันทางภูมิศาสตร์ จนปัจจุบันนี้ก็แยกกันทางการปกครองอย่างชัดเจน

สิ่งที่ทำให้เกิดการปะทะระหว่างไทยและกัมพูชาในช่วงเดือนกรกฎาคม 2568 ซึ่งทำให้เกิดความสูญเสียทั้งทหารและพลเรือนมาจากการอ้างสิทธิ์บนแผนที่คนละฉบับกัน บทความนี้ มายคอนเทนต์ พาคุณมาย้อนดูประวัติศาสตร์ชนวนแห่งความขัดแย้ง ว่าทำไมกัมพูชาจึงใช้แผนที่ 1 ต่อ 200000 และไทยได้ใช้แผนที่ 1 ต่อ 50000

แผนที่ประเทศไทยกัมพูชา ชนวนข้อพิพาทชายแดน
แผนที่ประเทศไทยกัมพูชา ชนวนข้อพิพาทชายแดน

3 จังหวัดของกัมพูชาเคยเป็นของประเทศไทย

จังหวัดของกัมพูชาที่ เคยเป็นของประเทศไทย (หรือในอดีตเป็นดินแดนที่สยามมีอธิปไตยหรืออิทธิพล) มีอยู่หลายพื้นที่ โดยเฉพาะในช่วงก่อนสนธิสัญญาระหว่าง ไทย–ฝรั่งเศส ปี 1904 และ 1907 ซึ่งเป็นช่วงที่ฝรั่งเศสกดดันให้ไทยยกดินแดนบางส่วนให้แก่ อินโดจีนฝรั่งเศส (ซึ่งรวมถึงกัมพูชา) ได้แก่

1. จังหวัดพระตะบอง (Battambang)

จังหวัดพระตะบองเคยอยู่ภายใต้การปกครองของไทยในชื่อจังหวัด พระตะบอง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2328 (สมัยรัชกาลที่ 1) เป็นหนึ่งในหัวเมืองทางตะวันตกที่ไทยปกครองโดยตรงนานกว่า 100 ปี ประเทศไทยได้ส่งขุนนางปกครองท้องถิ่น เช่น เจ้าพระยายมราช (บุญเพ็ง)

ตัวอย่างหลักฐานหนังสือเดินทางจังหวัดพระตะบอง ลงนามด้วยตราประทับประเทศไทย

2. จังหวัดเสียมราฐ (Siem Reap)

จังหวัดเสียมราฐเคยอยู่ภายใต้สยามในชื่อจังหวัด “เสียมราฐ” หรือ “ศรีสรรเพชญ์”เป็นเมืองโบราณสำคัญ และเคยเป็นแนวหน้าในการขยายอำนาจของไทยในเขมรบริเวณนี้มีปราสาท นครวัด และ ปราสาทพระวิหาร อยู่ใกล้กับชายแดนไทย

นครวัดอยู่ใน จังหวัดเสียมราฐ
นครวัดอยู่ใน จังหวัดเสียมราฐ

3. จังหวัดศรีโสภณ (Sisophon)

จังหวัดศรีโสภณปัจจุบันอยู่ในจังหวัด บันทายมีชัย (Banteay Meanchey) เป็นเมืองหน้าด่านที่ไทยปกครองร่วมกับพระตะบองและเสียมราฐ เคยเป็นเส้นทางเดินทัพและส่งกำลังจากไทยเข้าสู่กัมพูชาในอดีต

พื้นที่เหล่านี้ไทยคืนให้ฝรั่งเศสเมื่อใด?

แผนที่แสดงเกาะกูดบนแผ่นดินไทย จัดทำโดยฝรั่งเศส

🔹 สนธิสัญญาไทย–ฝรั่งเศส ปี 1907

สมัยรัชกาลที่ 5 ไทยต้องสูญเสียดินแดนฝั่งตะวันออกได้แก่จังหวัด พระตะบอง, เสียมราฐ, ศรีโสภณ ให้ฝรั่งเศสนี้เพื่อแลกกับดินแดนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำโขงบางส่วน เช่น ตราด และเกาะบริเวณจันทบุรี คืนมา

ทำไมไทยต้องทำสนธิสัญญากับฝรั่งเศส ปี 1907

ประเทศไทย (หรือ สยาม ในขณะนั้น) จำเป็นต้องทำ สนธิสัญญากับฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2450 (ค.ศ. 1907) เพราะอยู่ในสถานการณ์ที่ถูก กดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ อย่างหนักจากจักรวรรดิฝรั่งเศสที่กำลังขยายอำนาจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในยุคอาณานิคม ในปี พ.ศ. 2436 (1893) เกิดเหตุการณ์ เรือรบฝรั่งเศสบุกเข้าพระนคร ผ่านแม่น้ำเจ้าพระยา (วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112) ทำให้ไทยต้องเสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง (เช่น หลวงพระบาง, จำปาศักดิ์) ให้ฝรั่งเศส ฝรั่งเศสเริ่มใช้ “นโยบายทีละขั้น” (Salami tactics) บีบให้ไทยเสียพื้นที่มากขึ้นทีละน้อย

เหตุการณ์ครั้งนั้นฝรั่งเศส ยึดจังหวัดจันทบุรี เอาไว้ ต่อมา ในปี 1904 ฝรั่งเศสคืนจันทบุรีให้ แต่ย้ายไปยึด ตราด แทน ฝรั่งเศสบีบให้ไทยต้อง “แลกดินแดนเขมร” (พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ) กับ การได้ตราดและเกาะต่าง ๆ คืน

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) ทรงตระหนักดีว่าการต่อสู้ทางทหารไม่ใช่ทางเลือกที่สมดุลกับจักรวรรดิ ไทยจึงใช้ “การทูต” และ “ยอมเสียส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่” เป้าหมายระยะยาว คงความเป็นเอกราชของชาติไว้ ไม่ตกเป็นเมืองขึ้น

บทเรียนจากเหตุการณ์ สนธิสัญญาไทย–ฝรั่งเศส ปี 1907

  • เป็นกรณีศึกษาของการรักษาอธิปไตยโดยการ “เลือกเสียบางส่วน” เพื่อคงประเทศไว้
  • สะท้อน วิสัยทัศน์ของรัชกาลที่ 5 ในการดำเนินนโยบายระหว่างประเทศอย่างชาญฉลาด
  • จุดเริ่มต้นของการ “ปักหลักรัฐชาติสมัยใหม่” ที่ลดขอบเขตอาณาจักร แต่เพิ่มอำนาจภายใน
แผนที่ทับซ้อนระหว่างไทยกับกัมพูชา

การใช้ แผนที่มาตราส่วนต่างกัน ระหว่างไทยและกัมพูชา โดยเฉพาะสำรวจขอบเขตชายแดน ระหว่างมาตราส่วน 1:200,000 และ 1:50,000 เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดข้อพิพาทชายแดนมาเนิ่นนาน ตั้งแต่ยุคสนธิสัญญาฝรั่งเศส‑สยามปี 1904/1907 จนถึงเหตุการณ์ปะทะยาวล่าสุดในปี 2025
บทความนี้จะสำรวจที่มาของแผนที่ทั้งสองแบบ จุดผ่านแดนไทย‑กัมพูชาในจังหวัดตราด และสำรวจภาพรวมจังหวัดของกัมพูชาเพื่อความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

1. แผนที่ 1:200,000 มาจากไหน (ระวางดงรัก กัมพูชา)

ภาพแผนที่ 1 ต่อ 200000 กัมพูชา
ภาพจากบทความ รู้เท่าทันกระบวนการรับรองแผนที่ 1: 200,000 เว็บไซต์https://mgronline.com/qol/detail/9520000121873#google_vignette
  • แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 (1 ซม. = 2 กิโลเมตร) ผลิตโดยฝรั่งเศสในยุคอาณานิคม และแนบมากับ สนธิสัญญาฝรั่งเศส‑สยามปี 1907 และ 1904
  • กัมพูชายืนยันใช้แผนที่นี้เป็นหลักในการอ้างสิทธิ์เขตแดน เพราะถือว่าเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่ฝรั่งเศสได้ทำโปรเจ็กต์เขตแดนอย่างเป็นทางการ
  • อย่างไรก็ตาม ICJ ในปี 1962 รับรองวัดพระวิหารเป็นของกัมพูชา แต่ไม่ได้ยืนยันแนวเส้นตามแผนที่ 1:200,000 โดยตรง
  • ขณะที่กัมพูชานำแผนที่นี้มาใช้ล่าสุดในการประชุม JBC ปี 2025 เพื่อยืนยันเขตแดนตามสนธิสัญญา

2. แผนที่ 1:50,000 ของไทย เริ่มใช้มาเมื่อไหร่

แผนที่ประเทศไทยกัมพูชา ชนวนข้อพิพาทชายแดน
แผนที่ประเทศไทยกัมพูชา ชนวนข้อพิพาทชายแดน
  • ไทยใช้ แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 (1 ซม. = 500 เมตร) ซึ่งให้รายละเอียดสูง เหมาะกับการทำแผนที่ภูมิประเทศที่แม่นยำ
  • แผนที่แบบนี้เริ่มจากการสำรวจภาคสนามยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และมีการพัฒนาเพิ่มเติมจนถึงปี ค.ศ. 2003‑2006 ที่มีการปรับปรุงเป็นชุดแผนที่ L7017/L7018 โดยใช้ภาพถ่าย SPOT5 และระบบ WGS 84
  • แม้ไทยจะใช้แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ในการทำเขตแดนภายในประเทศ แต่กัมพูชาไม่ยอมรับว่าเป็นหลักฐานทางกฎหมาย และระบุว่าเป็นการทำแผนที่โดยฝ่ายไทยฝ่ายเดียว

บทสรุปข้อพิพาทชายแดนไทย‑กัมพูชา

รากของข้อพิพาท มาจากการตีความสนธิสัญญาฝรั่งเศส‑สยามระหว่างปี 1904 และ 1907 ซึ่งใช้ watershed (แนวแบ่งน้ำ) และแผนที่ 1:200,000 เป็นหลัก ในปี 1962 ศาลรัฐธรรมนูญ ICJ มอบให้กัมพูชาครอบครองปราสาท Preah Vihear แต่ไม่ได้กำหนดแนวเขตชัดเจนตามแผนที่ 1:200,000

  • ประเทศไทยใช้แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 เพื่อการทำเขตแดนเชิงเทคนิค สถิติ และการลาดตระเวน แต่ไม่ได้รับรองว่าเป็นเอกสารทางกฎหมายระหว่างประเทศ

ความตึงเครียดระเบิดใหม่ในปี 2025 เมื่อมีการปะทะตามแนวชายแดนและกองกำลังในหลายพื้นที่ รวมถึงจังหวัดตราด เชื่อมโยงกับแผนที่ที่ต่างกัน และการปฏิเสธแผนที่โดยฝ่ายตรงข้าม การประชุม JBC และการเจรจาทางการฑูตกำลังดำเนินต่อไป โดยกัมพูชายืนยันยึดแผนที่ 1:200,000 ขณะที่ไทยย้ำใช้แผนที่ 1:50,000 และเรียกร้องให้เจรจาแบบทวิภาคี

แผนที่ 1:200,000 มีที่มาจากฝรั่งเศสยุคสงครามอาณานิคม และใช้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ตามสนธิสัญญา 1904/1907 หากฝ่ายหนึ่งถือว่า “เส้นแนวน้ำ” อยู่คนละจุด (หรือเส้นเขตทะเลไม่ตรงกัน) อาจมีการ “ตีความว่าเกาะบางแห่งอยู่ในเขตตนเอง”

เกาะกูดมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ทางทะเล

แม้ไม่มีข้อพิพาทอย่างเป็นทางการ เกาะกูดจึงมีมูลค่าทางยุทธศาสตร์ทั้งด้านเศรษฐกิจและการทหาร พื้นที่ที่ทับซ้อนนี้ (OCA) มีความสำคัญเชิงเศรษฐกิจสูง เพราะคาดว่ามีแหล่งพลังงานใต้ทะเลขนาดใหญ่ ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิ์เขตไหล่ทวีปและ EEZ (Exclusive Economic Zone) ในอ่าวไทย โดยไทยประกาศขอบเขตเรียงลำดับจากปี 1973 ทำให้เกิดพื้นที่ทับซ้อนราว 26,000–27,000 ตารางกิโลเมตร กัมพูชาอ้างสิทธิ์ตั้งแต่ปี 1972

แม้กัมพูชามีชายฝั่งทะเล แต่:

  • ชายฝั่งของตน ตื้นและมีโคลนมาก โดยเฉพาะ Koh Kong และ Kampot
  • ท่าเรือขนาดลึกมีแค่ สีหนุวิลล์ ซึ่งอยู่ค่อนข้างไกลจากตราด

ในทางยุทธศาสตร์ เกาะกูดตั้งอยู่ในตำแหน่ง:

  • ใกล้ช่องทางเดินเรือ
  • มองเห็นพื้นที่ฝั่งเกาะกง
  • เป็นฐานควบคุมชายฝั่งฝั่งตะวันออกของอ่าวไทย

การตีเส้นแบ่งทางทะเลระหว่างชายฝั่งไทยและเกาะกูด รวมถึงชายฝั่งกัมพูชา มีแนวคิดการใช้เส้น median‑line หรือ equidistance line แต่นั้นก็ก่อให้เกิดมุมมองที่สัมพันธ์กับอนุสัญญา UNCLOS ปี 1982 ในขณะที่กฎหมายสมัยก่อน เช่น กฤษฎีกากัมพูชา ปี 1972 เคยใช้แผนที่เดินเรือที่ลากเส้นตรงผ่านเกาะกูด แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นเส้นเขตแดนที่ชัดเจน หรืออ้างกรรมสิทธิ์ต่อเกาะดังกล่าว

เรียกได้ว่าการปะทะกันครั้งนี้ เพื่ออ้างสิทธิ์ทับซ้อนในอ่าวไทยก็ไม่ผิด พื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาทั้งสองฝ่ายอ้างสิทธิ์ทับซ้อนกันในอ่าวไทยอยู่ประมาณ 27,000 ตารางกิโลเมตร โดยเฉพาะในแนวทะเลใกล้เกาะกูด/เกาะกง มีการประเมินว่าพื้นที่แหล่งทรัพยากร OCA อาจมีสัดส่วนถึง 11 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตของก๊าซธรรมชาติ รวมถึงน้ำมันและคอนเดนเสท ซึ่งเป็นแรงผลักสำคัญต่อข้อพิพาท

ระหว่างไทยกับกัมพูชา ใครได้เปรียบบนพื้นที่แหล่งทรัพยากร OCA มากกว่ากัน

ประเทศไทยได้เปรียบมากกว่าในเขตทะเลที่ทับซ้อน (Overlapping Claims Area – OCA) โดยน้ำหนักสำคัญมาจากปัจจัยทางเทคโนโลยี การสำรวจ และความพร้อมด้านพลังงาน โดย OCA ตั้งอยู่ในส่วนต่อของ Pattani Basin ซึ่งเป็นพื้นที่หลักที่ไทยใช้สำรวจและผลิตก๊าซในทะเล ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าแหล่งที่น่าสำรวจส่วนใหญ่มีศักยภาพอยู่ด้านฝั่งไทยมากกว่า เนื่องจากระบบธรณีวิทยาดีและเข้าถึงง่ายกว่าในการขุดเจาะ

ส่วนหนึ่งของการเจรจาแต่ละครั้งต้องชะงัก เพราะการตีความและข้อตกลงการแบ่งพื้นที่บนบก ที่เป็นหลักให้แบ่งพื้นที่ทางทะเลบริเวณอ่าวไทยตลอดจนเกาะกงของกัมพูชา ขนาดเกาะใหญ่ที่สุดในความดูแลของจังหวัดนี้ ความยาวชายฝั่งเกาะกงประมาณ 53 กม. ซึ่งมีทรัพยากรสำคัญคือ ก๊าซธรรมชาติ (11 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต), น้ำมัน, คอนเดนเสท

ไทยมีบริษัทต้นน้ำและผู้รับเหมาเช่น PTTEP และบริษัทไทยอื่นๆ ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านน้ำมันและก๊าซ แม้จะใช้โมเดลการแบ่งรายได้แบบ 50:50 ฝ่ายไทยก็อาจได้ประโยชน์มากกว่า เนื่องจากประเทศไทยอาศัยเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแรงกว่า

ไทยได้ถอนพื้นที่ OCA ออกจาก National Energy Plan 2024 เนื่องจากยังไม่มีความคืบหน้าการเจรจา และยังไม่มีการสำรวจพลังงานร่วม แม้กัมพูชาจะมีสิทธิ์อ้าง OCA เท่าไทย แต่ไทยมีทั้งโครงสร้างการสำรวจ น้ำมัน ก๊าซ และเทคโนโลยีที่ทำให้ได้เปรียบทางเศรษฐกิจมากกว่าในกรณีมีการสำรวจหรือพัฒนาจนถึงปัจจุบัน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

บรรณานุกรม (References)

ใส่ความเห็น