วิธีอบร่ำผ้าไหม ให้หอมกรุ่นแบบโบราณ

วิธีอบร่ำผ้าไหม ให้หอมกรุ่นแบบโบราณ

การอบร่ำผ้าไหมเป็นศิลปะความหอมแบบไทยโบราณที่ช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับเสื้อผ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ้าไหมที่ต้องการกลิ่นหอมอ่อน ๆ ติดทนนาน เทคนิคนี้เป็นที่นิยมมาตั้งแต่อดีต และยังคงถูกนำมาใช้ในปัจจุบันสำหรับงานสำคัญ เช่น งานแต่งงาน งานพิธีทางศาสนา หรือแม้แต่การแต่งกายแบบไทยที่ต้องการความหอมละมุนของน้ำร่ำและเทียนร่ำ ในบทความนี้ Mycontent-thai.com จะพาไปรู้จักกับวิธีอบร่ำผ้าไหมอย่างละเอียด ตั้งแต่ความหมายของการอบร่ำ อุปกรณ์ที่ใช้ ไปจนถึงขั้นตอนการทำให้ผ้าหอมกรุ่นแบบไทยแท้

อบร่ำ หมายถึงอะไร?

อบร่ำ คือ กระบวนการทำให้ผ้ามีกลิ่นหอม โดยใช้เทียนร่ำและน้ำร่ำสมุนไพรในการอบรมควันหอมเข้าไปในเนื้อผ้า วิธีนี้เป็นภูมิปัญญาไทยที่ช่วยให้ผ้าคงความหอมได้นานหลายวัน ทำให้การแต่งกายมีกลิ่นหอมอย่างเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะกับผ้าไหมที่ซึมซับกลิ่นได้ดี วิธีนี้จึงเหมาะกับเสื้อผ้าไทยดั้งเดิมและชุดสำหรับพิธีสำคัญ

อุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการอบร่ำผ้าไหม

การอบร่ำต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะที่สามารถสร้างกลิ่นหอมจากสมุนไพรและเทียนร่ำ ซึ่งประกอบด้วย

สมัยโบราณมีคำว่า “หอมจนติดกระดาษ” หมายถึงกลิ่นจากน้ำอบร่ำ หรือผ้าที่ผ่านการอบร่ำมีความหอม เวลาใครที่นุ่งผ้าลักษณะนี้นั่งอยู่ที่ดี กลิ่นของผ้านั้นก็ยังติดอยู่ที่ไม้กระดาน ขั้นตอนการอบร่ำเป็นภูมิปัญญาไทยแบบชาววัง เกี่ยวข้องกับการเก็บรักษาผ้าไหม เพื่อให้มีกลิ่นหอม หากคุณอยากจะมีผ้าไหมหอมๆ ด้วยวิธีการอบร่ำแบบโบราณ มีวิธีการอบร่ำต่อไปนี้

1. เทียนร่ำผ้า

เทียนอบผ้า
เทียนอบผ้า จากร้าน AYADA หอมไทย ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ SHOPEE

เทียนร่ำผ้า จะแตกต่างจากเทียนอบขนม ตรงที่ให้กลิ่นหอมที่ติดทนนานกว่า และส่วนผสมของสิ่งที่นำมาทำเป็นเทียนนั้นรับประทานไม่ได้ กลิ่นหอมของเทียนร่ำผ้าจะเกิดจากควันอบอยู่ในผ้า หอมกว่าการใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม ทำให้ผ้ามีกลิ่นหอม ราคาของเทียนอยู่ที่แท่งละประมาณ 200 – 300 บาท มีลักษณะเป็นเทียนโบราณ ใช้จุดได้ทั้งสองปลาย และสามารถดับได้ทีละครั้ง ไม่ต้องใช้หมดในคราวเดียว

2. น้ำอบร่ำผ้า

น้ำหอม น้ำปรุง
น้ำหอม น้ำปรุง จากร้าน เอก.อมร 9877 SHOPEE

สมัยก่อนต้องนำดอกไม้หอมๆ พร้อมกับส่วนผสมที่ให้กลิ่นหอมมาลอยน้ำ แล้วนำมาอบร่ำผ้า แต่ปัจจุบันนี้ก็มีการทำน้ำอบแบบสำเร็จรูป เป็นกลิ่นหอมธรรมชาติแบบโบราณที่คุณสามารถเลือกซื้อได้ ในราคาเริ่มต้นขวดละ 35 บาท เท่านั้น หากต้องการให้ผ้าหอมแบบรวดเร็ว ก็สามารถนำมาผสมน้ำสเปรย์ลงบนผ้าไหมของคุณได้

3. หีบผ้า

หีบไม้สักโบราณ ไว้เก็บของวินเทจ
หีบไม้สักโบราณ ไว้เก็บของวินเทจ จากร้านฟิชเชอร์ แมน SHOPEE และ LAZADA

ผู้ที่สะสมผ้าไหมนิยมเก็บผ้าไหมใส่ถุงผ้าฝ้ายและเก็บไว้ในหีบ เพื่อรักษาสี และสภาพของผ้า รวมถึงรักษากลิ่นหอมจากการอบร่ำ คนสมัยโบราณใช้หีบใบใหญ่สำหรับอบร่ำผ้า ด้วยการจุดเทียน และวางบนภาชนะรองพวกเซรามิค เมื่อปิดฝาหีบควันก็จะอบอยู่ในหีบ ทำให้ผ้าหอมยาวนาน

ขั้นตอนการอบร่ำผ้าไหมให้หอมกรุ่นแบบโบราณ

1. เตรียมผ้าไหมให้พร้อม

ก่อนการอบร่ำ ควรซักและตากผ้าไหมให้แห้งสนิท เนื่องจากความชื้นอาจทำให้กลิ่นหอมไม่ติดทนเท่าที่ควร

2. จัดเตรียมภาชนะสำหรับอบร่ำ

เลือกใช้โถดินเผาหรือกล่องไม้ที่มีฝาปิดสนิท เพื่อให้กลิ่นหอมกระจายได้ดีภายในภาชนะ

3. วางเทียนร่ำและน้ำร่ำ

  • จุดเทียนร่ำให้เกิดควันหอม จากนั้นดับเปลวไฟให้เหลือแต่ควันเทียน
  • วางเทียนร่ำไว้ที่ก้นภาชนะ แล้วใช้กระดาษหรือใบตองกั้นไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ผ้าสัมผัสกับเทียนโดยตรง
  • พรมผ้าไหมด้วยน้ำร่ำเบา ๆ เพื่อเพิ่มความหอม

4. อบร่ำผ้าไหม

  • วางผ้าไหมลงบนกระดาษหรือใบตองในภาชนะ
  • ปิดฝาภาชนะให้สนิท ทิ้งไว้ประมาณ 2-4 ชั่วโมง เพื่อให้กลิ่นซึมเข้าสู่เส้นใยผ้า
  • หากต้องการให้กลิ่นหอมติดทนนาน สามารถอบร่ำซ้ำได้หลายรอบ

5. การเก็บรักษาผ้าอบร่ำ

  • ควรเก็บผ้าไหมที่อบร่ำแล้วไว้ในถุงผ้าหรือกล่องไม้ เพื่อรักษากลิ่นหอมให้คงทน
  • หลีกเลี่ยงการเก็บในที่อับชื้นหรือโดนแสงแดดจัด เพราะอาจทำให้กลิ่นจางเร็ว

การอบร่ำผ้าไหมเป็นศิลปะที่ช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับเครื่องแต่งกายแบบไทย ๆ กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของเทียนร่ำและน้ำร่ำทำให้เสื้อผ้าดูน่าสวมใส่มากขึ้น และยังเป็นวิธีที่ช่วยถนอมเนื้อผ้าได้ดี Mycontent-thai.com แนะนำให้ลองนำเทคนิคนี้ไปใช้กับเสื้อผ้าที่ต้องการกลิ่นหอมกรุ่นแบบโบราณ รับรองว่าเสริมเสน่ห์ให้กับทุกการแต่งกายได้อย่างแน่นอน!

เลือกเทียนร่ำและน้ำร่ำคุณภาพดี เพื่อให้ผ้าไหมของคุณหอมกรุ่นแบบไทยแท้ สนใจสั่งซื้อ คลิกเลย!

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น