วิธีตรวจสอบ SEO บทความของตัวเอง

หลังจากที่เราเขียนบทความนำส่งขึ้นเว็บไซต์สักพัก ก็อยากจะทราบว่า เว็บไซต์ของเราได้รับการทำดัชนีจากกูเกิลหรือยัง บทความนี้ Mycontent-thai.com มีวิธีตรวจสอบ SEO บทความของตัวเองว่าเหมาะสมมีคุณภาพเพียงพอต่อการตรวจสอบ Google Index แล้วหรือยัง?

ตรวจสอบ SEO ด้วยตัวเอง ได้อย่างไร

วิธีตรวจสอบ SEO บทความของตัวเอง

Google Index บทความที่มีคุณภาพจากบทความที่ทำ SEO ด้วยการใช้ Robot ซึ่งเป็นโค้ดสำหรับไต่หาความเชื่อมโยงของลิงก์ภายในและลิงก์ภายนอกบนคีย์เวิร์ดของบทความ และเราเองก็สามารถตรวจสอบด้วยตัวเองได้เช่นกัน ดังนี้

1. ตรวจสอบคีย์เวิร์ดหลัก (Focus Keyword)

คีย์เวิร์ดหลักคือหัวใจของ SEO ดังนั้นคุณควรตรวจสอบการวางคีย์เวิร์ดบน หัวเรื่อง, หัวข้อหลัก และหัวข้อย่อย ดังนี้

  • ใช้คีย์เวิร์ดใน หัวข้อ และ หัวข้อย่อย (H1, H2, H3)
  • ใส่คีย์เวิร์ดใน ย่อหน้าแรก และ ย่อหน้าสุดท้าย
  • ตรวจสอบว่าคีย์เวิร์ดปรากฏในบทความในอัตราส่วน 1-2% ของจำนวนคำทั้งหมด (ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป)

2. ตรวจสอบ Meta Title และ Meta Description

  • Meta Title: ควรมีความยาวประมาณ 50-60 ตัวอักษร และใส่คีย์เวิร์ดในตำแหน่งต้นๆ ของคำบรรยายบทความ
  • Meta Description: ควรมีความยาวประมาณ 150-160 ตัวอักษร โดยมีคีย์เวิร์ดที่ดึงดูดความสนใจ

3. วิเคราะห์การใช้หัวข้อย่อย (Subheadings)

การใช้หัวข้อย่อยช่วยแบ่งเนื้อหาให้เป็นระเบียบและอ่านง่าย ใน Sub Heading หรือ H2, H3 รวมถึงหัวข้อย่อยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

  • ใช้ H1 สำหรับหัวข้อหลักเพียงครั้งเดียว
  • ใช้ H2 และ H3 สำหรับหัวข้อย่อย
  • ใส่คีย์เวิร์ดหรือคำใกล้เคียงในหัวข้อย่อยเพื่อเพิ่มความเกี่ยวข้อง

4. ตรวจสอบความยาวของบทความ

Google ชอบเนื้อหาที่ครอบคลุมและให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ควรมีความยาวขั้นต่ำ 800-1,000 คำ (ขึ้นอยู่กับหัวข้อที่เขียน) และเนื้อหาสั้นเกินไปอาจส่งผลให้บทความไม่น่าสนใจและไม่ได้รับการจัดอันดับที่ดี

5. ตรวจสอบลิงก์ภายในและลิงก์ภายนอก

คุณอาจจะเคยเห็นคำว่า “ลิงก์ภายใน” และ “ลิงก์ภายนอก” จากเราบ่อยๆ มาดูนิยามของคำทั้งสองคำนี้ค่ะ

  • ลิงก์ภายใน (Internal Links) คือลิงก์ที่ใช้เชื่อมโยงบทความที่เกี่ยวข้องในเว็บไซต์ของคุณเพื่อให้ผู้ใช้สำรวจเนื้อหาเพิ่มเติม
  • ลิงก์ภายนอก (External Links)  คือการใส่ลิงก์ไปยังเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้เพื่อสนับสนุนข้อมูล

6. วิเคราะห์ความเร็วการโหลดหน้าเว็บ

ความเร็วในการโหลดมีผลต่อ SEO ตรวจสอบได้โดยใช้เครื่องมืออย่าง PageSpeed Insights ของ Google เพื่อตรวจสอบและปรับปรุงความเร็ว และลดขนาดไฟล์ภาพและหลีกเลี่ยงปลั๊กอินที่ไม่จำเป็น ก่อนอัปโหลดรูปขึ้นเว็บไซต์ก็ย่อขนาดรูปก่อน

7. ตรวจสอบการรองรับการใช้งานบนมือถือ

การออกแบบที่รองรับมือถือ (Mobile-Friendly) เป็นปัจจัยสำคัญ โดยใช้เครื่องมือ Mobile-Friendly Test เพื่อตรวจสอบว่าบทความแสดงผลได้ดีบนอุปกรณ์ทุกประเภท

8. วิเคราะห์การใช้รูปภาพและ Alt Text

เนื่องจาก Google Robots ไม่สามารถหยั่งรู้รูปภาพได้ทั้งหมดว่าคือภาพของอะไร ดังนั้นควรใส่ Alt Text หรือคำบรรยายภาพในรูปภาพทุกครั้ง เพื่อช่วย Google เข้าใจเนื้อหาภาพ และเลือกใช้ภาพที่มีคุณภาพสูงแต่ขนาดไม่ใหญ่เกินไป เพื่อไม่ให้เว็บไซต์โหลดช้า

9. ตรวจสอบความถูกต้องของโครงสร้าง URL

ในส่วนของ Site Map เมื่อสร้าง Categories ขึ้นมาแล้วควรเลือกใช้ URL ที่สั้น กระชับ และมีคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ และหลีกเลี่ยงการใช้ตัวเลขหรือสัญลักษณ์ที่ไม่จำเป็น

10. ใช้เครื่องมือช่วยตรวจสอบ SEO

มีเครื่องมือหลายตัวที่ช่วยตรวจสอบ SEO ของบทความ เช่น Yoast SEO (ปลั๊กอินสำหรับ WordPress), SEMRush หรือ Ahrefs และ Google Search Console (บางครั้งเรียกย่อๆ ว่า GSC)

ในช่วงแรกๆ ของการทำบทความ SEO เพื่อให้ติดอันดับ Google Search หน้าแรกๆ อาจจะใช้เวลาเรียนรู้สักหน่อย แต่เมื่อเขียนเป็นแล้ว สักพักหนึ่งถึงจะคล่องมือ และสามารถใส่คำบรรยาย แทนการใส่โค้ดต่างๆ เพื่อให้ Google Robot เข้ามาจัดอันดับได้ ทำให้เว็บไซต์ของคุณมีบทความ SEO ที่มีคุณภาพ ส่งเสริมให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสปรากฏในอันดับที่สูงขึ้นในผลการค้นหาแต่ละคีย์เวิร์ด.

Read More :

ใส่ความเห็น