เปรียบเทียบโครงการ Easy E-Receipt 2.0 2568 กับช้อปดีมีคืนปีที่แล้ว: มีอะไรต่าง?

ในปี 2568 นี้ คนไทยยังคุ้นกับมาตรการ Easy E-Receipt 2.0 ในชื่อ ช้อปดีมีคืน 2568 กันอยู่ แต่ทั้งสองโครงการนี้มีความแตกต่างกัน โดย Easy E-Receipt 2.0 ขยายขอบเขตสินค้าและยอดลดหย่อนภาษีได้เยอะขึ้นกว่าเดิมมาก บทความนี้ Mycontent-thai.com นำความแตกต่างของทั้งสองมาตรการมาให้คุณทราบ เพื่อจะได้วางแผนจัดการภาษีเงินได้ช่วงเดือน มกราคม และ กุมภาพันธ์ 2568 ได้อย่างเหมาะสม

1. วัตถุประสงค์ของโครงการ

ความเหมือนและความต่างของมาตรการ Easy E-Receipt 2.0 ในปี 2568 กับ e-Tax Invoice ในช้อปดีมีคืน 2567 เป็นมาตรการที่กระตุ้นเศรษฐกิจด้านการจับจ่ายสินค้าและบริการเช่นเดียวกัน แต่แตกต่างกันดังนี้

  • Easy E-Receipt 2.0 (2568): มุ่งเน้นการจัดการเอกสารทางการเงินแบบดิจิทัล ช่วยลดความยุ่งยากในการเก็บใบเสร็จ และเพิ่มความสะดวกในการยื่นภาษี โดยสามารถลดหย่อนภาษีได้จากการใช้เอกสารที่ถูกต้องและครบถ้วน
  • ช้อปดีมีคืน (2567): โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สนับสนุนให้ประชาชนจับจ่ายสินค้าและบริการ โดยสามารถลดหย่อนภาษีได้จากค่าใช้จ่ายที่เข้าข่ายตามที่กำหนด เช่น การซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค หนังสือ และค่าบริการ ที่ร่วมมาตรการเท่านั้น

2. ประเภทค่าใช้จ่ายที่ลดหย่อนได้

Easy E-Receipt 2.0 ในปี 2568 ขยายขอบเขตสินค้าและบริการที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ดังนี้

  • Easy E-Receipt 2.0: ค่าใช้จ่ายทุกประเภทที่มีใบเสร็จดิจิทัลที่ถูกต้อง เช่น ค่าเล่าเรียน ค่ารักษาพยาบาล การบริจาค และค่าประกันชีวิต
  • ช้อปดีมีคืน: ค่าใช้จ่ายที่กำหนดในหมวดสินค้าและบริการ เช่น สินค้าในห้างสรรพสินค้า หนังสือ และสินค้าเพื่อการศึกษา โดยมีเพดานลดหย่อนที่กำหนดไว้

3. วิธีการเข้าร่วมโครงการ

  • Easy E-Receipt 2.0: ผู้ใช้ต้องลงทะเบียนและใช้งานระบบ Easy E-Receipt เพื่อบันทึกและจัดเก็บใบเสร็จในรูปแบบดิจิทัล สามารถอัปโหลดใบเสร็จจากมือถือหรือเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันบัญชี
  • e-Tax Invoice ช้อปดีมีคืน: ประชาชนสามารถซื้อสินค้าหรือบริการที่เข้าร่วมโครงการได้ตามปกติ โดยต้องเก็บใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปเพื่อยื่นลดหย่อนภาษีในปีถัดไป

4. ความสะดวกในการเก็บเอกสาร

e-Tax Invoice ในช้อปดีมีคืนปีที่แล้ว บางร้านออกเป็นใบเสร็จกระดาษ บางร้านส่งเข้าทางอีเมล แม้ว่าจะเป็นร้านที่ร่วมกับ e-Tax แล้ว แต่ผู้เสียภาษีก็จะต้องจัดเก็บเอกสารเอง มีโอกาสหายสูงมาก ส่วน Easy E-Receipt 2.0 มีข้อมูลจากร้านค้าส่งให้กรมสรรพากรอยู่แล้ว คาดว่าการยื่นภาษีในปี 2569 นี้ จะไม่ต้องอัปโหลดใบกำกับภาษีมากมาย

  • Easy E-Receipt 2.0: สะดวกกว่าด้วยระบบดิจิทัลที่ช่วยจัดการใบเสร็จทั้งหมดในที่เดียว และรองรับการส่งข้อมูลโดยตรงไปยังกรมสรรพากร
  • ช้อปดีมีคืน : มีทั้งการเก็บใบกำกับภาษีแบบกระดาษ และ e-Tax Invoice อาจยุ่งยากและมีโอกาสสูญหาย ต้องใช้เวลาในการจัดระเบียบเอกสารเอง

5. วงเงินลดหย่อนภาษี

  • Easy E-Receipt 2.0: ลดหย่อน รวม 50,000 บาท โดยแบ่งออกเป็นสินค้าทั่วไป 30,000 บาท และสินค้าโอท็อป 20,000 บาท
  • ช้อปดีมีคืน: มีการกำหนดเพดานลดหย่อนสูงสุด เช่น 40,000 บาท ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในแต่ละปี

6. ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม

Easy E-Receipt 2.0 ในปีนี้มีขอบเขตการซื้อสินค้าได้หลากหลายหมวดหมู่มากกว่า และลดการใช้กระดาษ เน้นความโปร่งใสของทางร้านค้า และผู้เสียภาษี ส่วน e-Tax Invoice คือการกระตุ้นเศรษฐกิจตามช่วงเวลาที่กำหนด

  • Easy E-Receipt 2.0: ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ลดการใช้กระดาษ และเพิ่มความโปร่งใสในการจัดการเอกสารทางการเงิน
  • ช้อปดีมีคืน: กระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนในช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่งช่วยเพิ่มการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจตามช่วงเวลา

7. ความหลากหลายของการซื้อสินค้าเพื่อลดหย่อนภาษี

  • Easy E-Receipt 2.0: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการระบบจัดการเอกสารแบบดิจิทัล และมีค่าใช้จ่ายที่ต้องการลดหย่อนหลายประเภท
  • ช้อปดีมีคืน: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดหย่อนภาษีจากการจับจ่ายสินค้าและบริการในหมวดที่กำหนดเท่านั้น

ทั้ง Easy E-Receipt 2.0 และ e-Tax Invoice ในช้อปดีมีคืน คือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงต้นปีเช่นเดียวกัน แต่มาตรการในปีนี้ขยายหมวดหมู่และกลุ่มสินค้าได้กว้างกว่า และให้ยอดเงินลดหย่อนที่สูงกว่าปีที่แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สร้างความคุ้นเคยให้กับผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแล้ว หวังว่าปีต่อๆ ไป ยังคงมีมาตรการนี้ต่อไป.

ใส่ความเห็น