วันแม่แห่งชาติในแต่ละปี ไม่ได้มีแค่กิจกรรมให้เราวาดภาพระบายสี เขียนเรียงความ และกราบแม่เพียงเท่านั้น ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานของการจัดงานวันแม่แห่งชาติในแต่ละปี ทุกวันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนิพันปีหลวง Mycontent-thai.com รวบรวมประวัติวันแม่แห่งชาติ และการจัดงานแต่ละครั้งมาให้ชมกันอีกรอบครับ
งานวันแม่แห่งชาติของไทยครั้งแรก จัดในวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2486
ประวัติวันแม่แห่งชาติ จัดงานครั้งแรกในวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2486 ณ สวนอัมพร โดยครั้งนั้น กระทรวงสาธารณสุขเป็นเจ้าภาพ ครั้งนั้นมีเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศต่างๆ จึงตกอยู่ในภาวะหลังสงคราม และงานวันแม่ในยุคนั้นยังไม่ถือว่าเป็นงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ เพราะปีนั้นพระองค์ยังทรงพระเยาว์ 11 พรรษา ยังดำรงพระยศเป็นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ฯ และศึกษาระดับชั้นมัธยมที่โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ ก่อนจะเดินทางไปอยู่ประเทศอังกฤษกับครอบครัว ซึ่งพระบิดาดำรงตำแหน่งเอกอัคราชทูตไทยประจำประเทศกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา

งานวันแม่ครั้งที่ 2 ของประเทศไทย จัดวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2493
งานวันแม่ครั้งต่อมาจัดในวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2493 โดยสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม แต่ด้วยปัญหาทางการเมือง จึงไม่ได้จัดงานเฉลิมฉลองอย่างเป็นทางการ
ครั้งนั้นก็ยังไม่ได้เป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ เพราะพระองค์ยังทรงพระยศเป็นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ มีพระชนมายุ 18 พรรษา กำลังศึกษาอยู่ ณ ประเทศอังกฤษ ประทับอยู่กับครอบครัว คือ หม่อมเจ้านักขัตรมงคล และหม่อมหลวงบัว กิติยากร โดยปีนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงสนพระทัยเกี่ยวกับอุตสาหกรรมรถยนต์ จึงสนิทสนมกับครอบครัวหม่อมเจ้านักขัตรมงคล
ในยุคนั้นมีข่าวลือว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงต้องพระทัยบุตรสาวของหม่อมเจ้านักขัตรมงคล ระหว่างหม่อมราชวงศ์บุษบา กิติยากร หรือหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง

ไม่นานนักก็ปรากฎชัดแจ้งว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้หม่อมเจ้านักขัตรมงคลและครอบครัวมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท แล้วสมเด็จพระราชชนนีรับสั่งขอหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ต่อหม่อมเจ้านักขัตรมงคลและทรงประกอบพิธีหมั้นเป็นการภายใน ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พุทธศักราช 2492 ขณะนั้นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร มีพระชนมายุ 17 พรรษา
ในการพบปะกันครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงประสบอุปัทวเหตุทางรถยนต์ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ต้องประทับรักษาพระองค์ในสถานพยาบาล จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้หม่อมหลวงบัวพาบุตรี ทั้งสองคือหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์และหม่อมราชวงศ์บุษบาเข้าเฝ้าทูลละอองพระบาทเยี่ยมพระอาการเป็นประจำ
มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้ตัดรูปของหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ พกไว้ขณะประทับรักษาพระองค์ในโรงพยาบาล เมื่อพระชนนีตรัสถาม จึงได้ทูลขอพระราชทานพิธีหมั้น
ข่าวการหมั้นเป็นที่ปิติยินดีของพสกนิกรชาวไทย และในวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2493 ทั้งสองพระองค์ก็ได้จดทะเบียนสมรส ในพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ณ วังสระปทุม โดยสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงเป็นประธานในพระราชพิธี


ภายหลังที่ทั้งสองพระองค์เสด็จนิวัตรกลับประเทศไทยเป็นการถาวร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มีพระราชโอรสธิดา ดังนี้
1. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี (ประสูติ 5 เมษายน พ.ศ. 2494) พระนางเจ้าพระชนมายุ 19 พรรษา
2. สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ (ประสูติ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2495) พระนางเจ้าพระชนมายุ 20 พรรษา
3. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์ (ประสูติ 2 เมษายน พ.ศ. 2498) พระนางเจ้าพระชนมายุ 23 พรรษา
4. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี (ประสูติ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2500) พระนางเจ้าพระชนมายุ 25 พรรษา
ในช่วงต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) พระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ได้เสด็จติดตามพระองค์ประทับ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2493 เพื่อทรงรักษาพลานามัยตามคำแนะนำของแพทย์ และหลบเลี่ยงการเผชิญหน้ากับรัฐบาลเผด็จการ ของจอมพล ป.พิบูลสงครามในยุคนั้น
ในหลวง ร.9 และพระราชินี เสด็จกลับประเทศไทยเป็นการถาวรในปี พ.ศ. 2494 พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี โดยประทับในพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต และปีต่อมาทรงประสูติกาลสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ ตามโบราณราชประเพณีที่คาดการณ์กันว่าจะได้พระโอรส จึงต้องคลอดในวังณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต

ปี พ.ศ. 2498 สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกทรงพระผนวชตามโบราณราชประเพณี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งสมเด็จพระบรมราชินีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ภายหลังเมื่อทรงลาผนวชแล้ว ได้ทรงสถาปนาพระราชอิสริยยศสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และทรงแต่งตั้งให้พระนางเจ้าฯ ดำรงตำแหน่งสภานายิกาสภากาชาดไทยแทนสมเด็จฯ พระพันวสาฯ
งานวันแม่แห่งชาติของไทยครั้งที่ 3 จัดในวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2515
การจัดงานวันแม่ครั้งที่ 3 ของประเทศไทย โดยสมาคมครูคาทอลิกแห่งประเทศไทย จัดในวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2515 แต่ภายหลังไม่ได้จัดงานต่อ ในยุคนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล และพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงเดินทางไปทั่วประเทศไทย ไม่เว้นแม้กระทั่งถิ่นทุรกันดาร ทำให้ทั้งสองพระองค์เห็นปัญหาความยากไร้ และได้จัดตั้งมูลนิธิช่วยเหลือพสกนิกร ทั่วทั้งประเทศ เป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชนเกิดคำเรียกขานทั้งสองพระองค์ว่า “พ่อหลวง” และ “แม่หลวง” ของแผ่นดิน
งานวันแม่แห่งชาติของไทยครั้งที่ 4 จัดในวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2519
สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้กำหนดให้วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ และเป็นคร้ังแรกที่การจัดงานวันแม่แห่งชาตินี้มีความหมายเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และคณะกรรมการจัดให้ใช้ดอกมะลิซ้อน เป็นเครื่องหมายสัญลักษณ์ประจำวันแม่ รวมไปถึงการจัดงานตามโรงเรียน ด้วยการให้เยาวชนมีาส่วนร่วม อาทิ วาดภาพระบายสี, ประกวดเรียงความแม่ดีเด่น, ประกวดร้องเพลงวันแม่ รวมไปถึงคัดเลือกแม่ตัวอย่างเพื่อประกาศรางวัลในปีนั้นๆ

พระราชดำรัส สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนิพันปีหลวง
ในปี พ.ศ. 2519 นั้น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระชนมายุ 44 พรรษา เรื่องราวการเลี้ยงพระโอรส พระธิดา ในฐานะแม่นั้นมีคำบอกเล่าที่พวกเราสามารถติดตามอ่านได้จากหนังสือ “ชาววัง ช่างเล่าเรื่อง” โดยผู้เขียวคือ จินต์ชญา (ดร.จินตนันท์ ชญาต์ร ศุภมิตร) บุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านผู้หญิงพึงจิตต์ ศุภมิตร คุณข้าหลวงคนแรกในสมเด็จพระนางเจ้าฯ ซึ่งมีการบันทึกถ่ายทอดสิ่งที่ได้รับรู้มาจากคุณแม่ เกี่ยวกับการดูแลเด็กยากไร้ในพื้นที่ห่างไกล
เช่น ครั้งหนึ่งเมื่อต้องขนของขึ้นเครื่องบินทหารในสมัยนั้น ข้าหลวงต่างๆ ก็ต้องจัดแจงเตรียมข้าวของเอาเฉพาะของที่จำเป็น ไม่เช่นนั้นแล้วขณะบินเครื่องบินจะสั่น และหากโชคร้ายเครื่องบินจะตกเอาอยู่บ่อยครั้ง ข้าหลวงต่างๆ ก็ต้องพนมมือไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกครั้งไป
เมื่อครั้งที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ จะเสด็จติดตามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในช่วงต้นรัชกาล (ตรงกับยุคคอมมิวนิสต์) พระองค์มีวิสัยทัศน์ที่ว่าที่ห่างไกลเหล่านั้นจะต้องมีอุปกรณ์บางอย่างที่ใช้เลี้ยงเด็กอ่อน ถือว่าเป็นเทคนิคส่วนพระองค์ที่นึกถึงเด็กแรกเกิด และได้ถ่ายทอดวิธีการเลี้ยงสมัยใหม่ให้แก่แม่ของเด็กตามพื้นที่ต่างๆ..
ผู้เขียนไม่สามารถเก็บมาเล่าได้หมด หากสนใจสามารถติดตามหาอ่านได้จากร้านหนังสือมือสอง และคาดหวังว่าทางสำนักพิมพ์จะได้จัดพิมพ์อีกหลายๆ ครั้ง เพื่อเรื่องราวอันแสนน่าประทับใจของพระองค์ท่านจะได้ขจรขจายเป็นที่รับรู้ของประชาชนยุคนี้.
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า ทีมงาน Mycontent-thai.com สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายดลบันดาลให้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนิพันปีหลวง มีพลานามัยแข็งแรง เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทย ยิ่งๆ ขึ้นไปเทอญ.
Reference.
- https://www.hii.or.th/wiki84/index.php?title=บันทึกเหตุการณ์ตามปี_พ.ศ.
- https://www.finearts.go.th/narama9/view/44039-พระราชประวัติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์-พระบรมราชินีนาถ-พระบรมราชชนนีพันปีหลวง-ตอนที่-๒
- https://www.royaloffice.th/2024/08/06/พระราชประวัติ-12-08-2566/
Read More :
- “ดอกมะลิซ้อน” สัญลักษณ์ของวันแม่แห่งชาติ มีความหมายว่าอย่างไร
- เรียงความวันแม่ 2567 เขียนคำนำ เนื้อเรื่อง สรุปอย่างไรให้โดนใจครูภาษาไทย
- [PR] ROBINSON MOTHER’S DAY 2024
- ของขวัญวันแม่ 2567 ซื้ออะไรให้แม่ดี ที่มีประโยชน์
- ทำไมสีฟ้าถึงเป็นสีวันแม่ กิจกรรมวันแม่ 2567 มีอะไรบ้าง








