- เบี้ยประกันสุขภาพเด็กอายุแรกเกิด – 5 ขวบ มีราคาสูงกว่าเด็ก 6 ขวบขึ้นไป เพราะความเสี่ยงในการป่วย และความซับซ้อนในการรักษา จึงมีค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูงกว่า
- ตามสถิติเด็กผู้ชายมักเข้ารับการรักษาพยาบาลมากกว่าเด็กผู้หญิง เพราะมีไลฟ์สไตล์ที่ผาดโผนมากกว่า เบี้ยประกันจึงสูงกว่า
- ตัวแทนขายประกันมักเลือกแผนที่พ่วงการออมเงิน และประกันชีวิตหลัก จนทำให้ผู้ปกครองรู้สึกว่าการจ่ายประกันสุขภาพเด็กเป็นเรื่องไกลตัว ค่าใช้จ่ายสูง
วิธีเลือกประกันสุขภาพเด็ก 2567 ให้คุ้มค่าเบี้ยที่จ่าย

โรคทางเดินหายใจ, ท้องเสีย และอุบัติเหตุ เป็นอาการเจ็บป่วยหลักๆ ที่เด็กเล็กวัยก่อนเข้าโรงเรียนมักต้องเจอ ซึ่งบางโรคหากปล่อยให้รุนแรงก็มีโอกาสทำให้ระบบประสาท กล้ามเนื้อ ติดเชื้อจนส่งผลต่อพัฒนาการ นั่นเป็นสิ่งที่พ่อแม่มักมีความกังวล
ในแต่ละปี โรคฮิตหลักๆ ในวัยเด็กอาจเคยผ่านสักโรคหนึ่ง ได้แก่
1. โควิด-19
2. ไข้หวัดใหญ่
3. มือเท้าปาก
4. ไวรัสโรต้า
5. ติดเชื้อไวรัสปอดอักเสบ ปอดบวม
6. ไวรัสลงกระเพาะ
7. หลอดลมอักเสบ
8. ติดเชื้อทางเดินหายใจ
9. อีสุกอีใส
10. คางทูม
ส่วนอุบัติเหตุนี้ ก็ล้วนเกิดขึ้นกันแทบทุกคน หากไม่ได้นอนโรงพยาบาล ก็ต้องเอกซ์เรย์ รักษาตัวที่บ้าน ทั้งหมดนี้เป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดฝัน แต่มันย่อมเกิดขึ้นแน่นอน ดังนั้นการวางแผนจ่ายเบี้ยประกันต่อปี จะช่วยลดความเสี่ยงเรื่องค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลให้กับผู้ปกครองได้เน้นๆ
วิธีเลือกประกันสุขภาพให้เหมาะกับรายได้ครอบครัว
1. ตรวจสอบสิทธิพื้นฐานการรักษา จากเว็บไซต์ สปสช.
คนไทยทุกคนที่มีเลขประจำตัวประชาชน มีสิทธิได้รับการรักษาขั้นพื้นฐานจากสาธารณสุข โดยอิงจากภูมิลำเนาของมารดา หากลูกเกิดมา ในช่วงเดือนแรกพ่อแม่ควรเช็กสิทธิบัตรทองของเด็กว่าอยู่ที่ไหน หลังจากนั้นก็ย้ายมาใกล้ๆ บ้าน (ต้องยื่นกับหน่วยงานสาธารณสุขในท้องที่โดยตรง ทำผ่านออนไลน์ไม่ได้)
โดยสิทธิการรักษาทั่วไปมี 3 อย่าง คือ 1. บัตรทอง 2. สิทธิพ่อแม่เป็นข้าราชการ 3. สิทธิ์เบิกค่ารักษาจากที่ทำงานพ่อแม่
2. เลือกทำประกันจากโรงพยาบาลที่อยากเข้ารับการรักษา
คุณพ่อคุณแม่ควรพิจารณาเลือกทำประกันจากโรงพยาบาลใกล้บ้าน ใกล้โรงเรียน หรือใกล้ที่ทำงานที่สะดวกต่อการพาไปรักษา เมื่อเราทราบแล้วว่าจะพาลูกเข้ารักษาที่ใด ก็จะวางแผนจัดการทำแผนประกันได้ดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น
- โรงพยาบาลเอกชน A : มีค่าแพทย์เริ่มต้น 600 บาท หากต้องนอนโรงพยาบาล มีแต่ห้องเดี่ยวพิเศษ ไม่มีห้องรวม
- โรงพยาบาลเอกชน B : มีค่าแพทย์เริ่มต้น 500 บาท หากต้องนอนโรงพยาบาล มีห้องรวม
- โรงพยาบาลรัฐบาล C : มีค่าแพทย์เริ่มต้น 30 บาท หากต้องนอนโรงพยาบาล มีห้องพิเศษ

หากอยากได้รับบริการที่ดี เร่งด่วน พ่อแม่ส่วนใหญ๋มักเลือกโรงพยาบาลเอกชน วิธีการเลือกเบี้ยประกันมี 2 แบบคือ
1. ประกันแบบนอนโรงพยาบาลอย่างเดียว (IPD)
2. ประกันแบบมีค่าตรวจรักษาผู้ป่วยนอก (OPD)
ถ้าทำร่วมกัน 2 อย่าง (OPD + IPD) ค่าเบี้ยมักจะแพง แต่ถ้าทำแบบ IPD อย่างเดียว ค่าเบี้ยมักจะถูก (เพราะอะไรนั้น ติดตามอ่านต่อไป)
3. ถ้าจะทำเพื่อครอบคลุมค่ารักษาพยาบาล แยกสัญญาพ่วงต่างๆ ออก
รู้ทันตัวแทนประกันด้วยการแยกสัญญาหลัก สัญญาพ่วง ต่างๆ ออกจากกันให้ละเอียด ไม่เช่นนั้น เบี้ยจะบานปลายมากๆ ได้แก่
- เบี้ยออมเพื่อลูก
- เบี้ยประกันอุบัติเหตุ
- ชดเชยรายได้บิดามารดาเมื่อบุตรนอนโรงพยาบาล
- คุ้มครองกรณีบิดามารดา (หรือผู้ปกครอง) เสียชีวิต
- คุ้มครองกรณีบิดามารดา (หรือผู้ปกครอง) ทุพพลภาพ
ซึ่งบางทีผู้ปกครองก็ได้ทำประกันที่คุ้มครองค่าเบี้ยต่างๆ ของตัวเองไว้แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีสัญญาพ่วง แต่หากใครต้องการสัญญาพ่วงเหล่านี้ ก็ไม่ต้องเลือกตัดออกไป
4. ตั้งงบประมาณสำหรับทำประกันสุขภาพเด็ก
การเลือกทำประกันสุขภาพให้กับเด็ก แบบที่ง่ายที่สุด คือกันงบไว้ว่าเราสามารถจ่ายได้เท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ที่ 5-10% ของรายได้พ่อแม่ต่อเดือน เช่น รวมๆ กันแล้วพ่อแม่เงินเดือน 50,000 บาท เบี้ยประกันที่เหมาะสมควรมีค่าใช้จ่าย 2,500 – 5,000 บาทต่อเดือน (หรือ 30,000 – 60,000 บาท ต่อปี) แต่บางคนมองว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่มากเกินไป จ่ายไม่ไหว สุดท้ายก็อาจขาดส่ง
เพราะฉะนั้นจึงต้องพิจารณาในข้อ 1 ร่วมด้วย คือ พ่อแม่มีสิทธิ์เบิกอะไรได้บ้าง หากมี ก็หาประกันที่ทำเพิ่มแบบ TOP UP ค่าใช้จ่ายส่วนเกินเอา
5. ตั้งงบประมาณตามโรคที่อาจป่วย
พ่อแม่บางคนไม่รู้ว่าเด็กเข้าโรงพยาบาลครั้งหนึ่งมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่บ้าง จากประสบการณ์ส่วนตัว และของเพื่อนๆ ผู้เขียนขอประเมินค่ารักษาพยาบาลหากต้องนอนโรงพยาบาลคร่าวๆ ไว้ดังนี้
1. โควิด-19 ค่ารักษาอยู่ที่ 10,000 – 35,000 บาท
2. ไข้หวัดใหญ่ ค่ารักษาอยู่ที่ 14,000 – 40,000 บาท
3. มือเท้าปาก ค่ารักษาอยู่ที่ 14,000 – 50,000 บาท
4. ไวรัสโรต้า ค่ารักษาอยู่ที่ 14,000 – 50,000 บาท
5. ติดเชื้อไวรัสปอดอักเสบ ปอดบวม ค่ารักษาอยู่ที่ 22,000 – 250,000 บาท
6. ไวรัสลงกระเพาะ ค่ารักษาอยู่ที่ 10,000 – 25,000 บาท
7. หลอดลมอักเสบ/คออักเสบ ค่ารักษาอยู่ที่ 10,000 – 40,000 บาท
8. ติดเชื้อทางเดินหายใจ ค่ารักษาอยู่ที่ 10,000 – 300,000 บาท
9. อีสุกอีใส ค่ารักษาอยู่ที่ 10,000 – 25,000 บาท
10. อุบัติเหตุ 5,000 – 1,000,000 บาท
ทั้งหมดนี้เป็นค่าใช้จ่ายโดยประมาณสำหรับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนระดับกลาง

แล้วอย่างนี้ พ่อแม่ ผู้ปกครองอย่างเรา ควรเลือกทำประกันสุขภาพเด็กแบบไหน ติดตามได้ในบทความตอนที่ 2 “แผนประกันสุขภาพเด็ก มีอะไรบ้าง” ได้ที่นี่
แท็ก : ประกันเด็ก 2567,ประกันเด็กที่ไหนดี,ประกันสุขภาพลูกน้อย,ประกันเด็กเหมาจ่าย,ประกันเด็กที่ไหนดี,ประกันสุขภาพเด็กรายเดือน,ประกันสุขภาพเด็ก 3 ขวบ,ประกันเด็ก AIA ดีไหม,ประกันสุขภาพเด็กโต,วิธีเลือกประกันสุขภาพเด็ก,ประกันสุดคุ้มเพื่อลูกน้อย,ประกันเด็ก alianz,ประกันสุขภาพเด็ก,ประกันสุขภาพเด็ก generali,เด็กต้องทำประกันไหม,ประกันวัยซน กสิกร,ประกัน PA for kid กสิกร,ประกันให้ลูก,ทำประกันให้ลูก aia,วิธีเลือกประกันสุขภาเด็ก,ประกันอุบัติเหตุเด็ก
Read More :
- วิธีเลือกประกันสุขภาพเด็กตามอายุ และความจำเป็น (ตอนที่ 1) วิธีเลือกประกันสุขภาพเด็ก 2567 ให้คุ้มค่าเบี้ยที่จ่าย
- วิธีเลือกประกันสุขภาพเด็กตามอายุ และความจำเป็น (ตอนที่ 2) รู้ก่อนจ่าย ! ประกันสุขภาพเด็ก มีกี่แบบ
- วิธีเลือกประกันสุขภาพเด็กตามอายุ และความจำเป็น (ตอนที่ 3) รู้จักสิทธิ์รักษาขั้นพื้นฐานของแต่ละคน
- รีวิวโรงพยาบาลกรุงไทยเวสเทิร์น นนทบุรี รพ.เปิดใหม่บริการ 24 ชั่วโมง
- ประกันสุขภาพเด็ก 4 โรคฮิต care for kids เมืองไทยประกันภัย สำหรับเด็ก 5 ขวบขึ้นไป

