นโยบายโครงการรับจำนำข้าวของไทยเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2498 แต่ได้นำมาใช้ครั้งแรกในฤดูกาล ปี พ.ศ. 2524/2525 โดยโครงการรับจำนำข้าวคือการรับจำนำสินค้าเกษตรประเภทข้าวเปลือก ตามสัญญาระหว่างเกษตรกร กับองค์การคลังสินค้า
ที่มาของโครงการรับจำนำข้าว
แรกเริ่มมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการน้อยราย เพราะหลักการของโครงการรับจำนำข้าว คือ เกษตรกรกู้ยืมได้ไม่เกินร้อยละ 80 ของมูลค่าข้าวเปลือกที่นำมาจำนำ และกู้ได้สูงสุดไม่เกินรายละ 100,000 บาท ผ่านธนาคาร ธ.ก.ส. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) โดยคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 13 ต่อปี และหากไม่มาไถ่ถอนตามระยะเวลาที่กำหนด ทางธนาคารก็จะนำข้าวจำหน่ายออกสู่ตลาด
ปีฤดูกาล 2529/2530 – 2543/2544 มีการผ่อนปรนเงื่อนไขมากขึ้น ได้แก่
1.ให้ธนาคาร ธ.ก.ส. ลดอัตราดอกเบี้ยเหลือร้อยละ 3 ต่อปี
2.ให้เกษตรกรกู้ได้สูงสุดร้อยละ 90 ของราคาประเมินข้าวเปลือก
3. ให้โครงการแทรกแซงตลาดข้าวเปลือก โดย อคส. (องค์การคลังสินค้า) กู้เงินจากธนาคารกรุงไทยรับซื้อข้าวจากโรงสี เพื่อให้โรงสีรับซื้อข้าวเปลือกฤดูกาล 2542/2543 จากเกษตรกรในราคาที่กำหนด
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของโครงการรับจำนำข้าว
โครงการรับจำนำข้าวมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในปี พ.ศ. 2544 ดังนี้
1. กำหนดราคารับจำนำข้าวให้สูงกว่าราคาตลาด
2. ให้โรงสีเอกชนเข้ามามีบทบาทในการรับจำนำข้าว เพิ่มเติมจากเดิมที่มีแต่ธนาคาร ธ.ก.ส.
3. ดำเนินการรับจำนำและฝากข้าวไว้กับยุ้งฉางของเกษตรกรในแหล่งการผลิต
4. มีการรับจำนำใบประทวน โดยเกษตรกรนำใบประทวนข้าวเปลือกที่จำนำกับโรงสี และ อคส. มาจำนำกับ ธนาคาร ธ.ก.ส. ได้ตามราคาที่ภาครัฐกำหนด
5. ในปี ฤดูกาล พ.ศ. 2544/2545 นั้น เพิ่มเป้าหมายการรับจำนำ จาก 2.5 ล้านตัน เป็น 8.7 ล้านตัน และ ฤดูกาล พ.ศ. 2545/2546 เพิ่มเป็น 9 ล้านตัน
โครงการรับจำนำข้าว มีข้อดี ข้อเสียต่อเกษตรกรและตลาดข้าวอย่างไร
ข้อดีของการมีโครงการรับจำนำข้าว
- เป็นโครงการที่ช่วยให้เกษตรกรได้เข้าถึงเงินทุน
- ป้องกันข้าวออกสู่ตลาดมากเกินไป
- รักษาราคาข้าวในตลาด
- ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้น
ประเทศไทยได้รับบทเรียนจากโครงการรับจำนำข้าวในปี พ.ศ. 2555/2556 เนื่องจากไม่จำกัดระยะเวลารับจำนำใบประทวน และมีการขึ้นทะเบียนเกษตรกรเพิ่มเติม มีเกษตรกรนำข้าวเปลือกมาจำนำเกินกว่ากรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี รัฐบาลจึงให้ธนาคาร ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินสำรองไปก่อนในวงเงิน 6,660 ล้านบาท และชดเชยต้นทุนเงินในอัตรา FDR+1
ความเสียหายจำนำข้าว บทเรียนจากปี 2557
อ้างอิง “Academic Focus” ISSN 2287-0520 สำนักงานวิชาการ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (เมษายน 2557)
รายงานผลการรับจำนำข้าวในปี พ.ศ. 2556/2557 จากกรมการค้าภายใน โดยนับตั้งแต่วันที่เริ่มโครงการ 1 ตุลาคม 2556 ถึง 10 กุมภาพันธ์ 2557 มีรายงานดังนี้
- มีโรงสีภาคเหนือที่เข้าร่วมรายการ 237 โรง
- มีโรงสีภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เข้าร่วมรายการ 232 โรง
- มีโรงสีภาคกลางที่เข้าร่วมรายการ 351 โรง
- มีโรงสีภาคใต้ที่เข้าร่วมรายการ 824 โรง
โรงสีที่เปิดรับฝากข้าว
- มีโรงสีภาคเหนือที่เข้าร่วมรายการ 230 โรง
- มีโรงสีภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เข้าร่วมรายการ 225 โรง
- มีโรงสีภาคกลางที่เข้าร่วมรายการ 330 โรง
- มีโรงสีภาคใต้ที่เข้าร่วมรายการ 789 โรง
โรงสีที่เปิดรับฝากข้าวนอกพื้นที่
- ภาคเหนือ 124 จุด
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 403 จุด
- ภาคกลาง 111 จุด
มีใบประทวนรวมทั้งหมด 1,866,914 ใบ มีข้าวเปลือกที่รับจำนำ 10,796,152 ตัน ธนาคาร ธ.ก.ส. รายงานผลการจ่ายเงิน ณ วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นจำนวน 61,326,031 ล้านบาท ให้แก่เกษตรกร 499,438 ราย จาก 564,198 สัญญา
นักวิชาการได้กล่าวถึงโครงการรับจำนำข้าวย้อนหลัง 12 ปี แบ่งออกเป็น 2 ช่วง โดยในช่วง 10 ปีแรก (ตั้งแต่ปี 2544 – 2555) ใช้เงินในโครงการไป 6.98 แสนล้านบาท และ 2 ปีหลัง (ตั้งแต่ปี 2555 – 2556) ใช้เงินไป 6.88 แสนล้านบาท ซึ่ง 2 ปีหลังนี้ ทางโครงการตั้งราคารับจำนำสูงกว่าราคาตลาดโลกเกือบ 50% และมีนโยบายจำนำทุกเมล็ด ทำให้รัฐบาลกลายเป็นผู้ค้าข้าวรายใหญ่ ผูกขาดตลาดค้าข้าวเพียงเจ้าเดียว
ศูนย์การศึกษาการค้าระหว่างประเทศมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้เสนอแนะนโยบายเพื่อช่วยหาแนวทางให้กับเกษตรกรไทย ดังนี้
1. ลักษณะการจำนำข้าวในปัจจุบัน มีโรงสีเป็นผู้ออกใบประทวน จึงควรมีการกำหนดช่วงเวลาและปริมาณที่เหมาะสมกับฤดูกาล
2. ควรนำเงินที่ใช้กับโครงการรับจำนำมาช่วยปฏิรูปที่ดินให้เกษตรกรที่ขาดที่ดินทำกิน
3. กำหนดแผนพัฒนาตลาดข้าวอย่างยั่งยืน
4. ควรมีการตรวจสอบการขึ้นทะเบียนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ และบทลงโทษในการให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ
5. เตรียมแผนบริหารสต็อกข้าวอย่างรัดกุม และมีมาตรการตรวจสอบที่ชัดเจน
6. ควรมีการปรับลดงบประมาณอุดหนุนข้าวไทย ในระยะเวลา 5 ปี ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ข้าว เพื่อแก้ไขปัญหาให้เป็นระบบทั้งระยะสั้น ไปจนถึงระยะยาว
ประมูลข้าว 2567
ปัญหาของโครงการรับจำนำข้าว รัฐบาลรับซื้อแพงกว่าราคาขาย แม้จะนำข้าวบางส่วนไปขายแล้วก็มีปัญหาขาดทุนตลอด ตั้งแต่เริ่มทำโครงการไม่มีการทำบัญชีอย่างเป็นระบบ รัฐบาลมีข้าวที่เป็นทรัพย์สินมหาศาล แต่หากปล่อยทิ้งไว้ในระยะยาว ข้าวจะเสื่อมคุณภาพ
ปี 2567 มีข่าว อคส. เตรียมเปิดประมูลข้าวในเดือนพฤษภาคม จำนวน 15,000 ตัน ซึ่งเป็นข้าวในโครงการรับจำนำข้าวปี 2555 – 2557 ในโกดังจังหวัดเชียงใหม่ แต่มีชาวนากับนักวิชาการส่วนหนึ่งออกแสดงความคิดเห็นให้ตรวจสอบการปนเปื้อนของสารเคมีและเชื้อรา
โดยชาวนาให้ความเห็นว่า ข้าวที่เก็บไว้ในยุ้งหรือโรงสี จะถูกพ่นยาฆ่าแมลง และสารกันชื้นทุก 6 เดือน และควรเก็บไม่เกิน 2 ปี หากเกินกว่านั้น คุณภาพของข้าวจะเปลี่ยนแปลงไปและเสี่ยงการปนเปื้อน จึงอยากให้ผู้เกี่ยวข้องเลือกจัดการกับข้าวค้างยุ้งที่เหลือด้วยวิธีที่เหมาะสมต่อไป
ที่มาข่าว :
1. อคส. เตรียมเปิดประมูล “ข้าว 10 ปี” 15,000 ตันกลางเดือน พ.ค.นี้., (9 พ.ค. 67) https://www.chiangmainews.co.th/topstories/3313927
2. ชาวนาเชียงใหม่ ยื่นหนังสือ ภูมิธรรม ระงับขายข้าว 10 ปี ในโกดัง หวั่นกระทบภาพลักษณ์ข้าวไทย., (3 มิ.ย. 67) https://www.matichon.co.th/region/news_4608479
3. Academic Focus “โครงการรับจำนำข้าว” ., สำนักวิชาการ สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร., https://dl.parliament.go.th/handle/20.500.13072/379175

